"เทพมนตรี" จี้ยกเลิก MOU43 ย้ำเป็นตัวการความขัดแย้งเนื่องจากแผนที่ 1:200,000 ที่ผ่านมากัมพูชาละเมิดข้อตกลงกว่า 600 ครั้ง ไม่ได้ช่วยให้เกิดสันติสุขตามที่อ้างแต่อย่างใด ชี้ตลอด 25 ปี ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในกระทรวงการต่างประเทศรู้ดี แต่ร่วมกันปกปิดประชาชน โอดรู้สึกสิ้นหวัง ยิ่งขอให้ยกเลิก กลุ่มผลประโยชน์ก็ยิ่งกอดรัดให้แน่น
วันที่ 23 ส.ค. 2568 เทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ได้โพสต์เรียกร้องรัฐบาลยกเลิก MOU43 โดยระบุว่า
MOU43 ตัวการและความสิ้นหวัง
ข้อ ค. ใน MOU43 ..แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-อินโดจีนฝรั่งเศสตามอนุสัญญา ค.ศ.1904 และ สนธิสัญญา ค.ศ.1907
มันชัดแจ้งว่าคือแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 นั่นเอง ประกอบไปด้วย
2 ระวางแรกมาจากอนุสัญญา ค.ศ.1904
5 ระวางหลังมาจากสนธิสัญญา ค.ศ.1907
แต่กระนั้นในการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารเมื่อ ค.ศ.1959-1962 ระหว่างการพิจารณาคดี ไทยเราต่อสู้เรื่องสถานะแผนที่ว่าไม่เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนฯ
แต่ไทยแพ้…. ช่วยไปอ่านคำพิพากษาศาลโลกกันนะครับ
เรานำแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 มาใช้อย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา
กับลาว เมื่อ พ.ศ.2539 และกับกัมพูชา พ.ศ.2543
ทำไม เพราะเราได้เปรียบ เพราะเราคิดว่ามันใช่
นี่คือผลงานความคิดของกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาลคุณบรรหาร และ รมต.กระทรวงการต่างประเทศว่าการโดยคุณอำนวย วีระวรรณ
คุณชวนและคุณชายสุขุมพันธ์จึงสานต่อในนาม ประชาธิปัตย์
แต่การสานต่อนั้นตัวการใหญ่คือกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย รวมถึงหน่วยงานเล็กๆภายในที่เรียกว่า กองเขตแดน
ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องในกระทรวงการต่างประเทศ ย่อมรับรู้และปกปิด
การปกปิดเรื่องพวกนี้กับประชาชนกระทำกันอย่างต่อเนื่องและรวมถึง JBC ไทย และ JBC ลาว ของฝ่ายไทย
คนพวกนี้เหล่านี้รู้ดีมาโดยตลอด 25 ปี
สร้างปัญหาทั้งที่จงใจและตกหลุมพราง ….
ข้ออ้างของ MOU43 ไม่ได้ทำให้ไทยกับกัมพูชาลดความขัดแย้งลงไปได้ แต่เป็นระเบิดเวลาของความอยุติธรรมเพราะก่อให้เกิดการอ้างสิทธิ์ ก่อให้เกิดเส้นเขตแดน 2 เส้นพร้อมกัน การอ้างแผนที่แต่ละฝ่ายทำให้เกิดการรุกล้ำอธิปไตยดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่งได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นฝ่ายที่กัมพูชาเข้ามายึดครองเสมอ มันไม่มีทางจบลงด้วยข้อยุติที่ถาวร แต่มันเป็นเชื้อปะทุให้เกิดปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญนับแต่การลงนามใน MOU43 ตั้งแต่ ปี 2543 มาถึงปัจจุบัน ฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงกว่า 600 ครั้ง และไม่มีผลภาคบังคับในทางปฏิบัติแต่อย่างใด
MOU43 เป็นข้ออ้างทำให้เกิดอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองระหว่างประเทศ เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเองก็ละเลยนิ่งเฉยและก่อให้เกิดกลุ่มผลประโยชน์และปัญหาชายแดนในหลายพื้นที่
การหมักหมมปัญหามายาวนานกว่า 25 ปี ทำให้เห็นได้ชัดว่า MOU43 กลายเป็นข้ออ้างของกลุ่มผลประโยชน์ มากกว่าการคำนึงถึงผลที่หวังให้ไทยและกัมพูชามีสันติสุข มิตรภาพระหว่างกัน หากทำการตรวจสอบอย่างจริงจังอาจเจออะไรอีกมากมาย
ที่เห็นชัดๆคือกรณีนายกไทยและสมเด็จฯอังเคิล
สมควรต้องพิจารณาครับว่าจะยกเลิก MOU43
วันไหน เมื่อไหร่
นับวันการกอด MOU43 เอาไว้ ยิ่งขอให้ยกเลิกก็ยิ่งกอดรัดให้แน่น
นี่คือความสิ้นหวังครับ!