โดยธรรมชาติของรัฐอธิปไตยไม่มีชาติใดปรารถนาจะยอมรับการสูญเสียดินแดนภายใต้ข้อผูกพันอันไม่เท่าเทียม โดยเฉพาะเมื่อเงื่อนไขเหล่านั้นเป็นผลผลิตจากยุคที่อำนาจจักรวรรดิครอบงำกติการะหว่างประเทศ
หลายทศวรรษที่ผ่านมา ความเข้าใจในระดับสาธารณะอาจตีความว่า ไทยหวาดกลัวการเผชิญหน้ากับกัมพูชาที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) แต่ในความเป็นจริง ไทยไม่เคยหลีกเลี่ยงเวทีระหว่างประเทศ และมีประวัติยาวนานในการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ
สิ่งที่ไทย "ระแวดระวัง" แท้จริงแล้วคือ ผลพวงของการล่าอาณานิคมที่ยังหลงเหลืออยู่ในรูปของแผนที่และสนธิสัญญา ซึ่งไม่สะท้อนเจตจำนงของรัฐชาติอิสระในปัจจุบัน และอาจถูกนำกลับมาใช้เป็นเครื่องมือทางกฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม เป็นกับดักทางกฎหมายที่ถูกวางไว้ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมโดยฝรั่งเศส ซึ่งขณะนั้นปกครองกัมพูชาในฐานะรัฐในอารักขา และได้วางแผนสร้างแนวเขตแดนที่ไม่เท่าเทียม เพื่อค่อย ๆ บั่นทอนอธิปไตยของสยามในระยะยาว
ประวัติศาสตร์ที่ยังไม่เสมอภาค : ดินแดนที่สูญเสียภายใต้แรงกดดันอาณานิคม
ก่อนการจัดตั้งอินโดจีนฝรั่งเศส สยามมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมและการเมืองเหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ของลาวและกัมพูชา แต่หลังจากลงนามในสนธิสัญญากับฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2436, 2447 และ 2450 สยามถูกบีบบังคับให้ต้องยินยอมโอนดินแดนอย่างต่อเนื่อง โดยขาดโอกาสเจรจาในฐานะที่เท่าเทียม
ที่สำคัญสนธิสัญญาเหล่านี้ลงนามในช่วงที่กัมพูชายังอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส และยังไม่เป็นรัฐอิสระจนกระทั่งปี พ.ศ.2496 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกัมพูชาได้ใช้อ้างอิงแผนที่และข้อตกลงในยุคล่าอาณานิคมเหล่านี้มาใช้ในการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนเพิ่มเติมจากไทยเพื่อหวังได้เปรียบจากข้อกฎหมายในอดีต นี่คือ "มรดกพิษจากลัทธิล่าอาณานิคม" ซึ่งสร้างข้อกังวลต่อหลักความยุติธรรมร่วมสมัย และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในฐานะรัฐอธิปไตยที่เท่าเทียมกัน
ปราสาทพระวิหาร : คำพิพากษาที่ไทยเคารพกับพื้นที่โดยรอบที่ยังคงคลุมเครือ
ในปี พ.ศ.2505 ศาลโลกมีคำพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลไทยได้ปฏิบัติตามคำตัดสินอย่างเคร่งครัด โดยถอนกำลังทหารและไม่เคยอ้างสิทธิ์เหนือตัวปราสาทอีก ข้อพิพาทในปัจจุบันจึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวปราสาท หากแต่เกี่ยวกับพื้นที่โดยรอบซึ่งศาลมิได้ชี้ขาดอย่างชัดเจน กัมพูชาอ้างแผนที่แนบท้ายฉบับหนึ่งที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นฝ่ายเดียว โดยมิได้ผ่านกระบวนการเห็นชอบร่วมกัน ขณะที่ไทยยืนยันว่ายึดตามหลักสากลว่าด้วย “เส้นสันปันน้ำ” ซึ่งเป็นแนวเขตแดนตามภูมิประเทศที่ได้มีการตกลงกันไว้เดิมกับฝรั่งเศส
สถานะเดิมที่ถูกละเมิด : เมื่อข้อพิพาทขยายตัวโดยไม่จำเป็น
ไทยและกัมพูชาได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อรักษาสถานะเดิมในพื้นที่พิพาท โดยห้ามไม่ให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการใด ๆ ที่เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในพื้นที่ จนกว่าจะมีการตกลงร่วมกัน แต่เมื่อไม่นานมานี้ หน่วยทหารของกัมพูชาได้ขุดสนามเพลาะลึกเข้าไปถึง 150–200 เมตรในเขตไทย ซึ่งแม้แต่ตามการอ้างสิทธิ์ของกัมพูชาเองก็ไม่ได้ครอบคลุมถึงพื้นที่บริเวณดังกล่าว เหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลจากการละเมิดสถานะเดิมและการใช้กำลังที่ไม่จำเป็น ทหารไทยดำเนินการตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองภายใต้ขอบเขตของกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งอนุญาตให้รัฐสามารถปกป้องอธิปไตยของตนจากการบุกรุกอย่างชัดแจ้ง
เกมการเมืองระหว่างประเทศ หรือยุทธศาสตร์ภายในประเทศ?
เหตุการณ์นี้นำไปสู่คำถามสำคัญว่ากัมพูชากำลังมุ่งหวังผลลัพธ์ใดจากการกระทำดังกล่าวบางฝ่ายวิเคราะห์ว่า กัมพูชาพยายามยั่วยุให้เกิดการตอบโต้ เพื่อใช้เป็นเหตุผลในการนำประเด็นกลับเข้าสู่ศาลโลก และหวังสร้างกระแสสนับสนุนในเวทีระหว่างประเทศโดยการแสดงบทบาท "ผู้ถูกกระทำ" บางฝ่ายมองว่า นี่คือกลยุทธ์เบี่ยงเบนความสนใจจากความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งสะท้อนรูปแบบทางการเมืองที่อ้าง "ภัยจากภายนอก" เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจรัฐที่กำลังปกครองประเทศอยู่
บทสรุป : ไม่ใช่ความกลัว — แต่คือความรอบคอบของชาติอธิปไตย
ประเทศไทยไม่ได้ปฏิเสธการใช้กลไกระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหา แต่จำเป็นต้องระมัดระวังการใช้กฎหมายอาณานิคมมาเป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ฝ่ายเดียว การยอมรับคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 สะท้อนถึงความตั้งมั่นของไทยในหลักนิติธรรมระหว่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยไม่อาจนิ่งเฉยเมื่อมีการละเมิดอธิปไตยซ้ำซาก โดยอ้างอิงแผนที่ที่จัดทำขึ้นในยุคที่ไทยไม่มีอำนาจต่อรองอย่างเป็นธรรม ในยุคที่ประชาคมโลกยึดหลักความเสมอภาคของรัฐ ประเทศไทยมีสิทธิเช่นเดียวกับทุกชาติในการปกป้องพรมแดน และไม่ควรถูกผูกมัดกับ “กับดักทางกฎหมายจากยุคล่าอาณานิคม” อีกต่อไป