xs
xsm
sm
md
lg

เขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา ตอนที่ 1: สิ่งที่เป็นปัญหาของ MOU 2543

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม



โดย ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และอดีตสมาชิกสภาพัฒนาการเมือง
1 ตุลาคม 2568

เขตแดนทางบกไทย-กัมพูชามีความยาวราว 798 กม. ซึ่งถูกกำหนดตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907 โดยในขณะนั้น กัมพูชา ลาว และเวียดนามอยู่ภายใต้อาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศส คณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-อินโดจีนตามหนังสือสัญญาทั้งสองฉบับได้ปักปันเขตแดน (Delimitation) และจัดทำหลักเขตแดน (Demarcation) เสร็จสิ้นไปแล้วในสมัยรัชกาลที่5 แต่ต่อมาเพื่อให้เกิดความชัดเจนเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชามากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งตามแนวชายแดนที่เกิดจากปัญหาเขตแดน จึงได้มีการจัดทำ “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก”โดยลงนามเมื่อวันที่14 มิถุนายน2543[1] ซึ่งต่อไปเรียกว่า “MOU 2543” หลักจากจัดทำMOU 2543 แล้ว ไทยและกัมพูชายังมีความขัดแย้งเรื่องเขตแดนจนถึงขั้นสู้รบกันหลายครั้ง และปัจจุบันได้มีความขัดแย้งทางความคิดในสังคมไทยว่าควรคงไว้หรือควรยกเลิก MOU 2543 โดยสิ่งที่เป็นปัญหาของMOU 2543 ที่ทำให้เกิดความคิดว่าควรยกเลิกMOU 2543 มีอย่างน้อย 3 ประการ ดังนี้

1.ปัญหาจากข้อกำหนดบางข้อของMOU 2543 ได้แก่

1.1ข้อ1 (ค) ของMOU 2543 โดยที่ข้อ 1 ของMOU 2543 [ 1, ข.1] ได้กำหนดว่า

ข้อ1จะร่วมกันดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาให้เป็นไปตามเอกสารต่อไปนี้

(ก)อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสแก้ไขเพิ่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญาฉบับลงวันที่3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก122
ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่น ๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก122


(ข)สนธิสัญญาระหว่างสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ฉบับลงนาม ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่23 มีนาคมรัตนโกสินทรศก125กับพิธีสารว่าด้วยการปักปันเขตแดนแนบท้ายสนธิสัญญาฉบับลงวันที่23 มีนาคมรัตนโกสินทรศก125และ

(ค) แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนซึ่งจัดตั้งขึ้นตามอนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ.1907กับเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้อนุสัญญาฉบับปี ค.ศ.1904 และสนธิสัญญาฉบับปี ค.ศ.1907 ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส

ถึงแม้นในข้อ 1 (ค) ของMOU 2543 ไม่ได้ระบุว่าอย่างชัดเจนว่าแผนที่ที่ใช้เป็น “แผนที่มาตราส่วน1:200,000” แต่หากพิจารณาจากหนังสือที่ กต0603/1574 ลงวันที่9 มิ.ย. พ.ศ.2543 ที่กระทรวงการต่างประเทศส่งถึงนายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ครั้งที่2[ 2] จะพบในข้อ 2.1 ตรงส่วนพื้นฐานทางกฎหมายของหนังสือดังกล่าวว่าJBC ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาได้ตกลงกันแล้วว่าแผนที่แสดงเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามาตราส่วน1:200,000เป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีน”ซึ่งเป็นการยืนยันว่าแผนที่ที่ระบุในข้อ1 (ค) ของMOU 2543 คือ “แผนที่มาตราส่วน1:200,000”แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว

1) แผนที่มาตราส่วน1:200,000 ไม่ได้เป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-อินโดจีนเป็นเพียงแผนที่ที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียว เนื่องจากคณะกรรมการฝ่ายไทยไม่เคยลงนามรับรองแผนที่ดังกล่าวตามที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเงื่อนไขในการรับรองไว้ [ 3, น.107]

2) ประเทศไทยไม่เคยยอมรับก่อนการลงนามMOU 2543 ว่าแผนที่มาตราส่วน1:200,000เป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-อินโดจีนดังปรากฏตามคำแถลงสรุปที่ยื่นต่อศาลในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่20 มี.ค. พ.ศ.2505 [ 3, น.13-14]

3) คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อ พ.ศ.2505 มิได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน1:200,000เป็นแผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-อินโดจีนและเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาเป็นไปตามเส้นเขตแดนที่ลากไว้ในแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ดังกล่าว ตามที่ฝ่ายกัมพูชาได้ร้องขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัย[3, น.9, 50]

4) เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาที่กำหนดไว้ในแผนที่มาตราส่วน1:200,000ตอนดงรัก มีความผิดพลาดเป็นอย่างมากจากเส้นสันปันน้ำจริงซึ่งเป็นเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาที่กำหนดตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904และสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1907ตามที่ผู้พิพากษาเสียงข้างมาก 1 ท่านได้ให้ความเห็นเอกเทศตอนท้ายไว้[ 3, น.101]และผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยอีก3 ท่านได้ให้ความเห็นแย้งตอนท้ายไว้ [ 3, น.113,154-158, 194-195, 197]

1.2 ข้อ5 ของ MOU2543[ 1, ข.5] ซึ่งได้กำหนดว่า

ข้อ5เพื่ออำนวยความสะดวกในการสำรวจตลอดแนวเขตแดนทางบกร่วมกันเป็นไปอย่างประสิทธิผล หน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นจะงดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน เว้นแต่จะเป็นการดำเนินการของคณะอนุกรรมาธิการเทคนิคร่วมเพื่อประโยชน์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน”

จะเห็นได้ว่าข้อ5 ของ MOU 2543บังคับใช้เฉพาะหน่วยงานของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานเหล่านั้นของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงประชาชนทั้งสองฝ่าย และที่ผ่านมาปรากฏอย่างชัดเจนว่าเจ้าหน้าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้ประชาชนของฝ่ายตนในการรุกคืบเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดนซึ่งขอยกตัวอย่างที่กองกำลังบูรพาได้เคยรายงานไว้ดังนี้
 
“เมื่อ13 ส.ค.51 เวลา9.00 น. ชปข.กกล.บูรพา ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวในพื้นที่ บ.หนองหญ้าแก้ว ว่า มีประชาชนชาวกัมพูชาเข้ามาบุกรุกและทำลายป่าในเขตประเทศไทย บริเวณ บ.หนองหญ้าแก้ว หมู่ที่ 9 ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ชปข.กกล.บูรพา ร่วมกับ ฉก.ตชด.12 เข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ ที่ได้รับแจ้ง หลังจุดตรวจ ตชด.ที่39 ไปทางหน้าแนวลวดหนาม ห่างจุดตรวจประมาณ 400 เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีกประมาณ 600 เมตร พบว่าได้มีการตัดไม้ทำลายป่าในเขตประเทศไทย บริเวณ พิกัด TA 57593060 เนื้อที่ถูกทำลายไปประมาณ 30 ไร่ เป็นไม้เบญจพรรณทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ถูกตัดถากถางในสภาพยังใหม่อยู่ พื้นที่บริเวณที่มีการบุกรุก ตัดไม้ห่างจากลวดหนามที่กั้นเขตแดนไว้ ลึกเข้ามาในฝั่งไทยประมาณ100 เมตร
จากการสอบถามกับแหล่งข่าวในพื้นที่ทราบว่าประชาชนชาวกัมพูชาที่เข้ามาบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าในฝั่งไทย อ้างว่าได้รับคำสั่งจากนายทหารชาวกัมพูชาที่รับผิดชอบในพื้นที่ให้เข้ามาบุกรุกตัดไม้ในฝั่งไทย”

1.3 ข้อ 8 ของMOU 2543[1, ข.8] ซึ่งได้กำหนดว่า

ข้อ8ให้ระงับข้อพิพาทใด ๆ ที่เกิดจากการตีความหรือการบังคับใช้บันทึกความเข้าใจฉบับนี้โดยสันติวิธีด้วยการปรึกษาหารือและการเจรจา”

ที่ผ่านมา เจ้าหน้าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้ประชาชนของฝ่ายตนในการรุกคืบเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดนตามที่ได้กล่าวมาแล้วในข้อ 1.2 ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้หารือและเจรจารวมทั้งยื่นหนังสือประท้วงไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชาไปแล้วหลายร้อยครั้ง แต่ไม่บังเกิดผลให้ฝ่ายกัมพูชาหยุดพฤติกรรมดังกล่าว จึงเป็นที่ชัดเจนว่าการใช้การปรึกษาหารือและเจรจาอย่างสันติวิธีกับฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ผล จึงจำเป็นต้องปรับปรุงข้อ8 ของ MOU 2543 ให้มีมาตรการเพิ่มเติมในการระงับข้อพิพาทจากเบาไปหาหนัก

2.ปัญหาจาการที่ MOU 2543 เป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐ แต่ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา

การที่รัฐบาลไทยในขณะนั้นไปยอมรับใน MOU 2543 ว่า “แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียว” เป็น “แผนที่ที่จัดทำขึ้นตามผลงานการปักปันเขตแดนของคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-อินโดจีน” มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้ MOU 2543 เป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐ เนื่องจากคณะกรรมการดังกล่าวของแต่ละฝ่ายเป็นผู้แทนซึ่งได้รับมอบอำนาจเต็มจากประเทศของตนในการปักปันเขตแดนเพื่อกำหนดเส้นเขตแดนสยาม-อินโดจีนให้เป็นไปตามสภาพจริงตามธรรมชาติ คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาแล้วตกลงกันเช่นใด เส้นเขตแดนสยาม-อินโดจีนก็ต้องเป็นเช่นนั้น ถึงแม้นว่าอาจจะไม่ตรงกับที่ได้กำหนดไว้ในอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 โดยเป็นที่ปรากฏตามที่กล่าวมาแล้วในข้อ 1.1 4) ว่าเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาที่กำหนดไว้ในแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตอนดงรัก มีความผิดพลาดเป็นอย่างมากจากเส้นสันปันน้ำจริงซึ่งเป็นเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาที่กำหนดตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907

นอกจากนี้หากพิจารณากรณีพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่เป็นของไทยอย่างแน่ชัดและมีชาวกัมพูชาบุกรุกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณดังกล่าวก่อนการจัดทำ MOU 2543 เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยต้องงดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดนดังกล่าวตามข้อ 5 ของ MOU 2543 จึงเห็นว่า MOU 2543 เป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจแห่งรัฐ

แต่ปรากฏว่ารัฐบาลในขณะนั้นไม่ได้เสนอ MOU 2543 ซึ่งเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐ ให้รัฐสภาเห็นชอบตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 224 วรรคสอง

3.ปัญหาที่แผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาที่จัดทำขึ้นตาม MOU 2543 จะไม่ได้รับการรับรองเนื่องจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ค.ศ. 1993 [ 4]ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 2 และ 55 ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยอย่างไม่เป็นทางการดังต่อไปนี้

มาตรา 2 บูรณภาพแห่งดินแดนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาจะต้องไม่ถูกละเมิดโดยเด็ดขาดภายใต้เขตแดนของตนตามที่กำหนดไว้ในแผนที่มาตราส่วน 1:100,000 ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1933-1953 และที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติระหว่างปี พ.ศ. 1963 – 1969

มาตรา 55 สนธิสัญญาหรือข้อตกลงใด ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน ความเป็นกลาง และความเป็นเอกภาพของชาติแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา จะถูกยกเลิก

สำหรับแผนที่มาตราส่วน 1:100,000 ตามที่กล่าวถึงในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ค.ศ. 1993 มาตรา 2 นั้น เป็นแผนที่ที่ได้จัดทำขึ้นจากการแปลงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 โดยการตรวจสอบและยืนยันอีกครั้ง ให้เป็นมาตราส่วน 1:100,000 ที่ละเอียดขึ้น รายละเอียดตาม [ 5, ข. 3] ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยดังนี้

“3.แผนที่เขตแดนกัมพูชา-ไทย (มาตราส่วน 1:200,000) ถูก “จัดทำ” ขึ้นในปี ค.ศ. 1907 โดยอิงตามสนธิสัญญา ค.ศ. 1904-1907 อย่างไรก็ตาม แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ได้รับการตรวจสอบ ยืนยันอีกครั้ง แปลงเป็นมาตราส่วนที่ใหญ่ขึ้น (1:100,000) และตีพิมพ์ซ้ำในช่วงต้น ค.ศ. 1950”

ทั้งนี้ หากการจัดทำแผนที่แสดงเส้นเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาตาม MOU 2543 แล้วเสร็จ ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาจะต้องนำแผนที่นี้เข้าขบวนการพิจารณารับรองตามกฎหมายภายในของแต่ละฝ่าย สำหรับฝ่ายกัมพูชาหากแผนที่นี้มีส่วนไหนที่ไม่สอดคล้องกับแผนที่มาตราส่วน 1:100,000 ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา มาตรา 2 แผนที่นั้นจะถูกยกเลิกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา มาตรา 55 แต่ในความเป็นจริงตามข้อ 1.1 4) แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 อย่างเช่นตอนดงรัก มีความผิดพลาดเป็นอย่างมากจากเส้นสันปันน้ำจริงซึ่งเป็นเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาที่กำหนดตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907

ดังนั้นหากแผนที่ที่จัดทำขึ้นตาม MOU 2543 มีส่วนของเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาที่เป็นไปตามเส้นปันน้ำจริงที่ได้จากการสำรวจตามสภาพจริงตามธรรมชาติ แผนที่ส่วนนั้นย่อมไม่สอดคล้องกับแผ่นที่มาตราส่วน 1:100,000 ซึ่งแปลงมาจากแผนที่มาตราส่วน 1:200,000ฝ่ายกัมพูชาคงไม่รับรองและต้องถูกยกเลิกไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา มาตรา 2 และมาตรา 55 อย่างแน่นอน ในทางกลับกันหากแผนที่ที่จัดทำตาม MOU 2543 มีส่วนของเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามเส้นปันน้ำจริงแต่ไปยึดถือเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ฝ่ายไทยคงไม่รับรองเช่นกันเพราะไม่เป็นไปตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907สรุปแล้วแผนที่ที่จัดขึ้นทำตาม MOU 2543 เมื่อเสร็จแล้ว จะไม่ได้รับการรับรองจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอย่างแน่นอน การดำเนินการตาม MOU 2543 จึงต้องเสียเปล่า ซึ่งฝ่ายไทยจะเสียทั้งเวลาและพื้นที่ชายแดนของตนที่ชาวกัมพูชาบุกรุกเข้ามาตั้งถิ่นฐานเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินการตาม MOU 2543

เอกสารอ้างอิง

[ 1] บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ฉบับลงนามเมื่อวันที่14 มิถุนายน2543.

[2] หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ที่ กต0603/1574 ลงวันที่9 มิถุนายน 2543 เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC) ครั้งที่2.

[3] สำนักทำเนียบนายกรัฐมนตรี. คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร. กรุงเทพฯ, 2505.

[ 4] The Constitution of the Kingdom of Cambodia,1993. (Online). retrieved from https://cambodia.ohchr.org/sites/default/files/Constitution_ENG.pdf,1993.

[5] Bora Touch. “Notes on the Cambodia-Vietnam Boundary Maps and the Delimitation 1985/2005 Treaties”.(Online). retrieved from https://sokheounpang.wordpress.com/wp-content/uploads/2009/11/doc-notes-on-cambodia-boundary-maps-nov-2005.pdf, 2005.














กำลังโหลดความคิดเห็น