เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณาตามไทม์ไลน์จะพบว่า สภาจะปิดสมัยประชุมสมัยสามัญในวันที่ 30 ตุลาคม นี้ และจะเปิดสมัยประชุมครั้งต่อไปในต้นเดือนธันวาคม นั่นเท่ากับว่า หากพรรคฝ่ายค้านจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล จะต้องเกิดขึ้นภายในเดือนนี้ หรือก็ต้องรอไปในเดือนธันวาคม เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงความเป็นไปได้ เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน น่าจะยื่นญัตติ “ซักฟอก” รัฐบาลภายในเดือนธันวาคม เพื่อบีบให้มีการยุบสภาเร็วขึ้นอีก หลังจากก่อนหน้านี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประกาศว่าจะมีการยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม ปีหน้า
เพราะอย่างที่รู้กันว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ต้องจบเห่แน่นอน และยังเชื่อว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล คงไม่ยอมให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกคว่ำในสภา คงต้องชิงยุบสภาก่อน ก่อนที่ฝ่ายค้าน คือพรรคเพื่อไทย หรืออาจรวมพรรคประชาชน ที่ร่วมลงชื่อยื่นญัตติต่อประธานสภา เพราะยื่นญัตติไปแล้ว นายกฯ จะยุบสภาไม่ได้ จนกว่าจะมีการลงมติ
ดังนั้น เชื่อว่าภายในเดือนธันวาคม อาจจะได้เห็นการยุบสภาก่อนกำหนด ก็มีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว
ขณะเดียวกัน สำหรับพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังเป็นการแก้ปัญหาภายใน นั่นคือการ “ตัดจบ” เรื่องปัญหา “เลือดไหล” ทางหนึ่ง เมื่อมีการยุบสภา หรือแม้แต่ช่วงที่มีการเคลื่อนไหวยื่นญัตติซักฟอก ก็จะได้เห็นความชัดเจนแล้วว่า “จะเหลือใคร” ที่ยังอยู่กับพรรคบ้าง เพราะต้องรีบแสดงตัวกันแล้วว่าจะอยู่ หรือจะไป
อีกทั้งหากมีการยุบสภาก่อนกำหนด นั่นคือ ก่อนวันที่ 31 มกราคม นอกเหนือจากเป็นการแก้ปัญหาเลือดไหลได้เร็วขึ้นแล้ว อีกทางหนึ่งยังเป็นการ “เบรกเกม” ของพรรคภูมิใจไทยลงไปได้บ้าง อย่างน้อยหากมีการเคลื่อนไหวซักฟอก ยังสามารถ “ขยี้แผล” กรณี “ที่ดินเขากระโดง” ที่เริ่มกลับมาพูดถึงกันมากขึ้น และในทางคดี ก็ยังมีการเคลื่อนไหวมากขึ้นกว่าเดิม ยังไม่นับรวมคดี “ฮั้วสว.” และแม้ว่าทั้งสองเรื่องยังต้องใช้เวลาอีกนาน แต่ย่อมมีผลทางการเมือง ทำให้เกิด “แรงกระเพื่อม” ได้ดีทีเดียว
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง กรณีมีการประเมินว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะได้ สส. ไม่เท่าเดิม ตั้งเป้าหมายการเลือกตั้งครั้งหน้าไว้อย่างไรบ้าง ว่า มีการประเมินต่างๆ นานา ถ้าการประเมินผลออกมาไม่ค่อยดี เราก็มีโอกาสปรับปรุง เราพยายามให้ความมั่นใจกับทุกคน
ถามว่า ในระยะเวลา 4 เดือน มีกระแสข่าวว่าเลือดไหลออกอย่างต่อเนื่อง เราจะมีอะไรมัดใจ สส.ให้อยู่กับเราอย่างไรบ้าง น.ส.แพทองธาร กล่าวว่าเลือดที่ไหลไปมา เราคิดว่าวันนี้เราเห็นแล้วว่า เราเปิดมาเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว ซึ่งก็มั่นใจว่าเป็นความเชื่อมั่นหนึ่ง ที่ให้ สส. ได้รู้ว่า เราไปต่อแน่นอน และเราก็เต็มที่อย่างแน่นอน แต่จากกระแสข่าวที่ออกมาตนได้คุยกับ สส. ในแต่ละพื้นที่เอง สิ่งไหนที่ไม่เข้าใจ ก็ได้ปรับความเข้าใจ ที่ตนเข้าพรรคทุกวัน ได้คุยกับ สส.ทุกวัน ทุกพื้นที่ เพื่อที่จะได้รู้ความตั้งใจอย่างแท้จริง
ถามว่า การประเมินพรรคคู่แข่งที่น่ากลัวตอนนี้คือ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เพราะมีทั้ง สส. และกลุ่มการเมือง ที่ไหลออก จะแก้เกมอย่างไร น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า จริงๆ แล้วเราต้องสร้างยุทธศาสตร์เพื่อแข่งขันกับทุกพรรคอยู่ เราก็แสดงจุดยืนของเราให้ได้ว่าถ้าเลือกเรา ได้อะไรบ้าง สส. ของเราทำหน้าที่ผลักดันนโยบายได้อย่างไรบ้าง คือแก่นสารที่สำคัญ เกมการเมือง ก็เป็นเกมการเมือง แต่ประชาชนต้องไว้ใจให้ได้ว่าเลือกแล้วจะทำประโยชน์ให้เขาได้อย่างแท้จริง
ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งตนเองอยู่กับพรรคไทยรักไทย มาตั้งแต่ 2544 จนมาถึงปัจจุบันยังอยู่ที่นี่รู้จักสส. ที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาจำนวนมาก และตนได้ดูข้อมูลจากกระแสโซเชียลมีเดีย เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน หลังจากพรรคประชาชนไปสนับสนุนให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี
"กระแสทางพรรคประชาชน ตกลงอย่างมาก จากเดิมที่แต่ละโพสต์มีผู้กดถูกใจหลักหลายหมื่น ประมาณ 8 หมื่น ตอนนี้เหลือแค่หมื่นเดียว" นายสุริยะ ระบุ
ผู้อำนวยการการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า และที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทย แคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย ก็เป็นคู่แข่งโดยตรงกับแคนดิเดตของพรรคประชาชนโดยตรง การที่กระแสพรรคประชาชนตกลง เราก็จะได้ สส.เพิ่มเติมขึ้น
"ผมเชื่อมั่นในเรื่องนี้ และตั้งเป้า สส.ของพรรคเพื่อไทย จะได้ไม่น้อยกว่า 200 คน บวกลบ 10% แล้วคอยพิสูจน์กันตอนเลือกตั้ง ขอความเชื่อมั่นรอดูพิสูจน์คำพูดของตนเองว่าจะจริงหรือไม่จริง อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าสำหรับกระแสของพรรคประชาชนที่ตกลงไป ประเมินว่าจะได้ สส. ไม่เกิน 100 ที่นั่ง ส่วนพรรคภูมิใจไทย ที่มี สส. เดิม 70 ที่นั่ง เมื่อรวมกับ สส. ที่ดึงมาจากพรรคอื่น น่าจะมี สส.ประมาณ 120 ที่นั่ง"
ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล แสดงความพร้อมสำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจจากพรรคฝ่ายค้าน คือพรรคเพื่อไทย ว่า ก็ต้องพร้อม ไม่ใช่ตนคนเดียวซึ่งเราทำงานอย่างเต็มที่และมั่นใจว่าทำทุกอย่างอย่างเปิดเผย วันนี้เงินช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากภัยสงคราม ก็กดเอทีเอ็มกันได้เรียบร้อยทุกคน ทั้งนี้ ต้องขอเชิญชวน เพราะเบิกไปทั้งหมด 1,500 กดไป 1,300 อีก 200 จะต้องเร่งเข้าระบบให้ได้ โดยตนได้กำชับไปยังผู้ว่าฯ และนายอำเภอ ให้แจ้งพี่น้องประชาชนบางทีอยู่ไกลปืนเที่ยง ยังไม่รู้เรื่อง ก็ต้องตามไปให้ แต่เราต้องใช้ระบบพร้อมเพย์ และรับออมสิน
ขณะเดียวกัน เมื่อวานนี้ได้ให้กรอบในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ 9,000 บาท ซึ่งก็ได้ดำเนินการไปแล้ว และวันนี้ เรื่องโครงการคนละครึ่งพลัส ได้รับการอนุมัติทั้งงบประมาณ วิธีการ รูปแบบ ภายในสิ้นเดือนนี้ทุกคนจะสามารถใช้โครงการคนละครึ่งพลัส ไป 2 เดือน อันนี้เป็นสิ่งที่เราก็ทำ หากทำไปอย่างนี้ยังมีคนไม่ไว้วางใจเราก็พร้อมที่จะให้ตรวจสอบ
เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ จากความเคลื่อนไหวของ พรรคเพื่อไทยในเวลานี้ เชื่อว่าพวกเขาจะต้องยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อนกำหนดที่ นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศว่าจะยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม ปีหน้าค่อนข้างแน่ ส่วนจะยื่นในปลายสมัยประชุมคือภายในเดือนนี้ หรือรอเปิดสมัยประชุมในต้นเดือนธันวาคม ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ อย่างหลังน่าจะเป็นไปได้มากกว่า เพราะทางหนึ่งเพื่อต้องการแก้ปัญหาภายในของตัวเอง สกัดเลือดไหล ให้ทุกอย่างชัดเจนโดยเร็ว ขณะเดียวกันยังได้ถือโอกาส “ขยี้แผลเก่า” เรื่อง “เขากระโดง” และ คดีฮั้วส.ว.ก่อนลงสนามเลือกตั้งได้อีกด้วย !!