ย้อนรอยโครงการของกระทรวงการต่างประเทศ ช่วงปี 53-54 ใช้งบ 7.1 ล้าน ว่าจ้างนักวิชาการศึกษาข้อมูล-จัดทำสื่อเผยแพร่ กล่อมคนไทยให้เห็นใจเพื่อนบ้าน อ้างเพื่อความสัมพันธ์อันดี ให้การปักปันเขตแดนเป็นไปอย่างราบรื่น เผยชื่อทีมนักวิชาการล้วนอยู่ในก๊วน “เสื้อแดง” หนุน “ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” รวมทั้ง “อัครพงษ์ ค้ำคูณ” ตัวตั้งตัวตีบูชา MOU43 มาจนทุกวันนี้
ในช่วงปี 2553-2554 ในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีนโยบายชัดเจนในการคงไว้ซึ่ง บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding) ระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 หรือ MOU2543 กระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดทำโครงการ “การสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชน เรื่องเขตแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านสื่อสารคดี และการฝึกอบรม” โดยมอบหมายให้มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ ที่มีนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นประธาน
ซึ่งมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ ได้เสนอต่อกระทรวงการต่างประเทศ โดยของบประมาณทั้งสิ้น 7.1 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือน พ.ค.2553 และส่งรายการฉบับสมบูรณ์ในเดือน ม.ค.2554
ขณะที่ในช่วงเวลาดังกล่าว ภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและเครือข่ายแนวร่วมได้รวมตัวกันในนาม “เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ” เคลื่อนไหวให้ยกเลิก MOU ฉบับดังกล่าวที่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบกัมพูชา โดยเฉพาะการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000
โครงการของกระทรวงการต่างประเทศดังกล่าวได้อ้างหลักการและเหตุผลว่า เพื่อเป็นการป้องปรามปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มจะตามมาจากความเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่ขาดความรู้ความเข้าใจในสถานะ และปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน กองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ จึงมีดำริที่จะสร้าง และเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับสถานะ และแนวทางการแก้ไขปัญหาเขตแดนระหว่างประเทศ ให้เกิดขึ้นกับสาธารณชนในวงกว้าง ในรูปแบบที่เข้าใจง่าย และในมุมมองที่ปราศจากอคติ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานด้านเขตแดนระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่องเท่านั้น หากแต่ยังจะเป็นการให้การศึกษาที่เหมาะสมแก่ประชาชนทั่วประเทศซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่ความเข้าใจที่ดีระหว่างกัน และสานต่อความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านต่อไปในอนาคต
กระทรวงการต่างประเทศจึงเห็นสมควรที่จะมอบหมายให้มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ในฐานะองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรที่ได้ผลิตหนังสือ สื่อ ตลอดจนกิจกรรมวิชาการเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกันในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอุษาคเนย์ และอาเซียนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เป็นหน่วยงานหลักเพื่อรับผิดชอบในโครงการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชนเรื่องเขตแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในครั้งนี้
สำหรับ คณะทำงานโครงการ ประกอบด้วย
1.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ประธาน
2.อาจารย์พนัส ทัศนียานนท์
3.ศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
4.รองศาสตราจารย์ ดร.พิภพ อุดร
5.รองศาสตราจารย์ อาทร ฟุ้งธรรมสาร
6.ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
7.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์
8.ดร.มรกต เจวจินดา ไมเออร์
9.อาจารย์ อัครพงษ์ ค่ำคูณ
10.นายสมฤทธิ์ ลือชัย
11.นายอดิศักดิ์ ศรีสม
12.นายสุเทพ คุ้มกัน
13.นายเภตรา บรรณานุรักษ์
14.คณะที่ปรึกษาของคณะทำงานโครงการซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในด้านประวัติศาสตร์ กฎหมาย รวมทั้งด้านการค้า เศรษฐกิจ สังคม และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โครงการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า คณะทำงานทั้งหมดเป็นกลุ่มนักวิชาการที่มีแนวคิดไปในแนวทางเดียวกับนายชาญวิทย์ เกษตรศิรินั่นคือการเข้าข้างฝ่ายกัมพูชา โดยยอมรับว่าไทยได้เสียดินแดนบริเวณรอบปราสาทพระวิหารให้แก่กัมพูชาตั้งแต่ปี 2505 ตามคำตัดสินของศาลโลกไปแล้ว รวมทั้งหลายคนยังแสดงความไม่เห็นด้วยกับการยกเลิก MOU2543 ขณะที่บางคนก็อยู่ในกลุ่มนักวิชาการเสื้อแดงที่มีแนวคิดต่อต้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเข้าข้างฝ่ายกัมพูชา อาทิ นายพนัส ทัศนียานนท์อดีต ส.ว.จังหวัดตาก ที่ร่วมเวทีเสวนากับคนเสื้อแดงอยู่เป็นประจำ, นายธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ หัวหน้าภาควิชาสังคมศาสตร์ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต(ตำแหน่งขณะนั้น)
นอกจากนี้ รศ.พวงทอง ภวัครพันธุ์อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังเคยเขียนบทความคัดค้านการยกเลิก MOU 2543 ในเว็บประชาไท และปัจจุบันก็ยังคงจุดยืนเดิม
ส่วน น.ส.มรกต เจวจินดา ไมเออร์ อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ก็เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดของนายชาญวิทย์
และคนที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้อง MOU 2543 มาจนทุกวันนี้ คือ นายอัครพงษ์ ค้ำคูณอดีตคณะบดีวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ตำแหน่งขณะนั้นเป็นอาจารย์) เคยแสดงความเห็นว่าสิ่งที่กลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติกำลังทำอยู่เหมือนกำลังทำลายชาติ และคัดค้านการยกเลิก MOU 2543,
ล่าสุด นายอัครพงษ์ ค้ำคูณ ยังคงจุดยืนว่า MOU43 ไม่เป็นอันตรายและไม่เสี่ยงที่จะทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน โดยอ้างว่า MOU 2543 เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย เพราะจะนำไปสู่การทำลายแผนที่ 1:200,000 และเปลี่ยนไปใช้แผนที่ 1:25,000 ซึ่งเป็นการสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะความจริงแล้ว MOU2543 ไม่ได้พูดถึงมาตราส่วนใด ๆ เลย สิ่งที่พูดถึง แผนที่ 1:25,000 นั้นเกิดขึ้นทีหลังใน TOR2546 ข้อ 5 หน้า 18 ซึ่งผ่านมา 22 ปีแล้ว ก็ยังไม่เกิดผลจริง เพราะกัมพูชาไม่มีวันทิ้งแผนที่ 1:200,000 ที่ให้ประโยชน์กับตนเองเต็มมือ และจะเห็นได้ว่า กัมพูชามักกล่าวหาไทยอยู่เนื่องๆ ว่าทำผิด MOU เพราะไม่ยอมรับแผนที่ 1:200,000
ที่สำคัญ นายอัครพงษ์ไม่ได้เป็นนักวิชาการอิสระ แต่เป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับการว่าจ้างจากกระทรวงการต่างประเทศ ภายใต้งบประมาณโครงการ 7.1 ล้านบาท เพื่อทำวิจัยและเผยแพร่ความรู้เรื่องเขตแดนไทย–ประเทศเพื่อนบ้าน คำอธิบายของเขามิใช่เสียงที่เป็นกลาง หากแต่สะท้อนมุมมองที่อยู่ในกรอบผลประโยชน์จากกระทรวงการต่างประเทศที่ปกป้อง MOU 2543 อย่างแข็งขัน
อ่านรายละเอียด >> โครงการ “การสร้างความรู้ความเข้าใจแก่สาธารณชนเรื่องเขตแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านสื่อสารคดี และการฝึกอบรม”