xs
xsm
sm
md
lg

“ปานเทพ” เตือนระวัง “ฮุนเซน” เจ้าเล่ห์ อย่าหลงกลว่า MOU43 จะใช้แผนที่ใหม่แทน 1 ต่อ 2 แสน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ปานเทพ” เตือนอย่าหลงกลว่า MOU43 จะใช้แผนที่ดาวเทียมฉบับใหม่ เพราะ TOR 2546 กำหนดชัดให้สำรวจเขตแดนโดยใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นพื้นฐาน หากใช้แผนที่ 1 ต่อ 25,000 ก็แค่ลงรายละเอียด และไม่มีทางที่กัมพูชาอยากจะยกเลิก MOU43 เพราะสามารถใช้รุกฆาตไทยมาโดยตลอด ย้ำยกเลิกได้ตามอนุสัญญาเจนีวา 1969 อย่าห่วงว่าจะรบกัน เพราะก่อนปี 2543 ก็ไม่เคยรบกัน แถมมีประชุม JBC มาก่อนถึง 4 ครั้ง ส่วนเรื่องศาลโลก ถึงมี MOU เขมรก็ยังเอา 4 พื้นที่ไปยื่นฟ้องศาลโลกอยู่ดี แต่ไม่ต้องห่วงเพราะไทยไม่รับอำนาจศาลโลก

วันที่ 2 ต.ค.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” หัวข้อเรื่อง “อย่าหลงกลว่าประเทศไทยและกัมพูชากำลังจะมีแผนที่ดาวเทียมฉบับใหม่ทดแทนแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ใน MOU 2543” มีรายละเอียดดังนี้

ประการแรก กัมพูชาได้ใช้เงื่อนไข 3 ข้อ ใน MOU 2543 ในการรุกฆาตไทยมาตลอด 25 ปี

ข้อ 1 (ค) ที่ระบุให้ประเทศไทยและกัมพูชาทำการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ให้เป็นไปตามแผนที่ซึ่งฝรั่งเศสจัดทำแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือที่เรียกว่าแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 แผนที่ฉบับนี้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่เคยตัดสินรับรองแผนที่และเส้นเขตแดนตามแผนที่่ตามที่กัมพูชาร้องขอ แต่ใช้กฎหมายปิดปากที่ฝ่ายไทยมีพฤติกรรมไม่ปฏิเสธแผนที่นี้ทำให้ตัวปราสาทพระวิหารให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเมื่อปี พ.ศ. 2505


แต่ขนาดว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่ได้ลงมติรับรองสถานภาพของแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และประเทศไทยไม่เคยยอมรับมาก่อน แต่กลับมาปรากฏอยู่ในข้อ 1 (ค) ให้ไทยและกัมพูชาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกตามเอกสารฉบับดังกล่าวนี้

กัมพูชาจึงมีแรงจูงใจในฐานในเรื่องนี้ในระหว่างการเจรจาไม่แล้วเสร็จ เพราะอาศัยความได้เปรียบในคดีปราสาทพระวิหารมาเป็นฐานในการ รุกล้ำแผ่นดินไทยทางกายภาพโดยอ้างว่าเป็นแผ่นดินกัมพูชาตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 และหากมีข้อพิพาทในการปะทะกันก็พยายามให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาตีความในเรื่องแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ควบคู่ไปกับการอ้างอิงคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ. 2505 ให้ไทยเสียเปรียบ

ข้อ 5 ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐทำการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ในข้อนี้พบหลักฐานว่าทหารกัมพูชาได้ใช้พลเรือนรุกล้ำแผ่นดินไทย เพราะในข้อ 5 ห้ามเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ไม่ได้ห้ามพลเรือน ทำให้กัมพูชารุกล้ำ ตัดไม่ทำลายป่า ถึงขั้นสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวร แม้กระทั่งบ่อนกาสิโน หากไทยประท้วงด้วยกระดาษก็ไม่สนใจ เพราะกัมพูชาถือว่าเป็นแผ่นดินกัมพูชาตามแผนที่ 1:200,000


ข้อ 8 หากเกิดข้อพิพาทใดให้ใช้วิธีเจรจาปรึกษาหารือโดยสันติวิธี หากไทยใช้กำลังผลักดันกัมพูชาก็จะอาศัยในเรื่องนี้ส่งให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินหรือไม่ก็ประเทศอื่นๆ เพื่อให้มาดูแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ปรากฏข้อความในข้อ 1(ค)ใน MOU 2543 ผนวกเข้ากับคำตัดสินกฎหมายปิดปากแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่แม้จะไม่ตัดสินรับรองตัวแผนที่ ก็เป็นมูลฐานของสาเหตุที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศลงมติให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา

ดังนั้นกัมพูชาจึงรุกฆาตไทยมาตลอด 25 ปี โดย

รุกด้านที่ 1 รุกล้ำทางกายภาพจริงในระหว่างการเจรจาไม่แล้วเสร็จจากรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นที่ดินของกัมพูชาในทางกายภาพ และประเทศไทยทำได้แค่เพียงประท้วงตามข้อ 5 ของ MOU 2543 มาโดยตลอด เพราะเป็นแนวทางสันติวิธีตามข้อ 8 (และอาจจะไม่มีวันแล้วเสร็จเป็นร้อยๆ ปี)

รุกด้านที่ 2 หากไทยใช้วิธีปะทะด้วยกำลัง กัมพูชาก็จะมีแรงจูงใจที่จะพาชาติอื่นหรือองค์กรอื่นเข้ามาตัดสินเช่น ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหรประชาชาติ อาเซียน โดยมีผลประโยชน์คอยแลกเปลี่ยนให้กับประเทศเหล่านี้ โดยอาศัยแผนที่ข้อ 1(ค) ใน MOU 2543 ที่มาประกอบกฎหมายปิดปากในเรื่องแผ่นที่ฉบับเดียวกันนี้ในการตัดสินตัวปราสาทพระวิหารให้เป้นของกัมพูชา

ประการที่สอง มีข้อกล่าวอ้างว่าหากดำเนินการไปตาม MOU 2543 เราจะมีแผนที่จากดาวเทียมจะทำให้เราได้แผนที่ฉบับใหม่ และล้มล้างแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งหลงประเด็น และกำลังหลงกลกัมพูชา


เพราะเอกสารแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ของการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี พ.ศ. 2546 (TOR 2546) ซึ่งมีการกำหนดที่มีความชัดเจนมากขึ้นว่าให้ดำเนินการในการจัดทำแผนที่โดยใช้พื้นฐานจากแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียว ดังเช่นดูฉบับภาษาอังกฤษที่ขีดเส้นใต้

ข้อ 1.1.3 ระบุอย่างชัดเจนว่าแผนที่ในการใช้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก จะใช้แผนที่ซึ่งให้เรียกว่า แผนที่มาตราส่วน 1:200,000


ข้อ 3. พื้นที่ทำงานสำหรับการตัดสินใจ เพื่อวัตถุประสงค์ในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนโดยแบ่งพื้นที่เป็น 7 ตอน โดยในตอนที่ 7 กลับรวมพื้นที่สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนจาก “ช่องบกถึงเขาสัตตะโสม” ซึ่งอยู่ในตอนดงรักที่เดิมในสมัยรัชกาลที่ 5 ไม่ต้องมีหลักเขตแดนใดๆ เพราะใช้ขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำ แต่กลับจะมีการทำหลักเขตแดนในตอนนี้ได้อย่างไร ทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงว่าประเทศไทยสละขอบหน้าผาเป็นสันปันน้ำในบริเวณนี้ จึงต้องทำหลักเขตแดนแทน ซึ่งสุ่มเสี่ยงว่าจะต้องเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ตามข้อ 1.1.3


ข้อ 4 ได้กำหนดขั้นตอนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนว่า ภายหลังจากขั้นตอนแรกที่จะต้องทำการซ่อมแซมหรือแสวงหา หรือจัดทำหลักเขตแดนที่สูญหายไปแล้ว กลับระบุสิ่งที่สำคัญคือ

ขั้นตอนที่ 2 (Step 2) ต่อไปว่าให้ทำแผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศโดยใช้แผนที่มาตราส่วน 1:25,000 สำหรับการสำรวจเขตแดน ดูเหมือนจะดี แต่การสำรวจเส้นเขตแดนจะต้องเป็นไปตามจะต้องเป็นไปตามที่อธิบายเอาไว้ตามกฎหมายที่ถูกอธิบายเอาไว้ในข้อที่ 1 ของ MOU ซึ่งก็หมายรวมถึงแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 อยู่ดี

ขั้นตอนที่ 3 (Step 3) ยังกำหนดเส้นเส้นแดนและบริเวณที่ทำหลักเขตแดน ตามที่ได้สำรวจและทำแผนที่ซึ่งใช้ตามพื้นฐานของแผนที่มาตราส่วน 1:200,000






ภายใต้เนื้อหา MOU 2543 และ TOR 2546 เป็นการยืนยันว่าขั้นตอนจะเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ประเทศไทยไม่ได้เคยยอมรับ และตั้งข้อสงวนถึงความอยุติธรรมที่ใช้กฎหมายปิดปากกับประเทศไทย

เพราะภายใต้ข้อกำหนดในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก หรือ TOR 2546 ได้ระบุว่าถึงจะใช้ภาพถ่ายดาวเทียม หรือใช้แผนที่สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนมาตราส่วน 1:25,000 แต่ก็เป็นความละเอียดเพื่อให้เป็นไปตามแผนที่ 1:200,000 อยู่ดี

ประการที่สาม ในขณะที่ฝ่ายไทยกำลังเข้าใจว่าเราได้มีความคืบหน้าในการทำหลักเขตแดนระหว่างไทยกัมพูชาแล้ว และคิดว่าวันหนึ่งจะต้องแล้วเสร็จและขอความเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ แต่กัมพูชากลับซ่อนกลลึกไปกว่านั้น เพราะระหว่างที่การจัดทำหลักเขตแดนไม่แล้วเสร็จ กัมพูชาก็จะรุกล้ำไปเรื่อยๆ(ให้ประเทศไทยประท้วงด้วยกระดาษ) ในขณะที่หากเกิดข้อพิพาทขึ้นก็ชวนให้นานาชาติมาอ่านแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ใน MOU 2543

แต่รัฐธรรมนูญกัมพูชามาตรา 2 ระบุว่าให้ใช้แผนที่มาตราส่วน 1:100,000 โดยใช้อ้างอิงการขยายละเอียดโดยยึดแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 โดยสมมุติว่าการเจรจาสำเร็จในวันหนึ่ง แผนที่ดาวเดียวอย่างอื่นที่ขัดรัฐธรรมนูญกัมพูชาส่วนนี้ก็จะกลายเป็นโมฆะ และไม่สามารถนำมาใช้ได้จริงในฝ่ายกัมพูชาอย่างเดียว


ถึงเวลานั้นกัมพูชาก็คงยึดแผ่นดินไทยได้มากแล้ว และล้มกระดานแผนที่ซึ่งเสียเวลาไปจัดทำใหม่แต่ใช้ไม่ได้ ถึงใช้ได้ก็ต้องเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 อยู่ดี โดยที่ฝ่ายไทยมัวแต่หลงว่าน่าเสียดายที่เราได้ทำหลักเขตแดนมาไกลมากแล้ว

ประการที่สี่
กัมพูชาตอนนี้เริ่มออกอาการว่าฝ่ายไทยเลิก MOU 2544 ไม่ได้ฝ่ายเดียว เพราะ MOU 2543 ได้ถูกนำไปขึ้นทะเบียนกับเลขาธิการใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ ย่อมแสดงให้เห็นว่า “กัมพูชาไม่อยากเลิก MOU 2543” เพราะความได้เปรียบและการซ่อนกลดังที่กล่าวมาข้างต้น

แต่ในความจริงแล้ว อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา พ.ศ. 2512 ได้บัญญัติเอาไว้ในมาตรา 60 ข้อ 1 ความว่า

“มาตรา 60 การยุติหรือระงับการดำเเนินการของสนธิสัญญาอันเป็นผลมาจากการละเมิดสนธืสัญญา

ข้อ 1 การละเมิดสนธิสัญญาทวิภาคีอย่างร้ายแรงโดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จะทำให้ฝ่ายอื่นมีสิทธิอ้างการละเมิดดังกล่าวเป็นเหตุผลในการยุติสัญญาหรือระงับการดำเนืนการของสนธิสัญญาทั้งหมดของบางส่วน”


ทั้งนี้ กัมพูชาซึ่งใช้ทหารรุกล้ำแผ่นดินไทยบริเวณช่องบกก่อน ยิงอาวุธสงครามก่อน ยิงอาวุธสงครามร้ายแรงในพื้นที่พลเมืองไทย ยิงใส่โรงพยาบาลและพื้นที่พาณิชย์ของไทย เป็นอาชญากรสงครามเข่นฆ่าประชาชนชาวไทย วางทุ่นระเบิดใหม่ เพียงพอหรือไม่ที่จะบอกได้ว่ากัมพูชาได้ละเมิดอย่างรุนแรงล้วแล้วอันเป็นเหตุแห่งการยุติสัญญา หรือต้องคนไทยต้องตายมากกว่านี้จึงจะยกเลิกได้

แต่หากจะยกเลิกโดยอาศัยมาตรา 60 รัฐบาลไทยจะต้องรับความรุนแรงนี้ในฐานะเป็นฝ่ายบริหารซึ่งได้รับอำนาจมาจากประชาชน ไม่ใช่ถ่วงเวลาหรือแสดงความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจจึงต้องไปถามประชาชนโดยการทำประชามติแล้วให้รัฐบาลชุดหน้าตัดสินใจ หรือแม้แต่ปล่อยเวลาทอดไปสู่การเปิดด่านหรือเจรจา ก็จะยิ่งมีความชอบธรรมน้อยลงในการอาศัยมาตรา 60 ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา พ.ศ. 2512

ประการที่ห้าถ้ายกเลิก MOU 2543 แล้วจะต้องรบกันหรือ

ก็ลองตอบดูในขณะนี้มี MOU 2543 อยู่ แต่ประเทศไทยกลับมีกัมพูชาเป็นภัยคุกคามความมั่นของรัฐไทย ทั้งยิงอาวุธสงครามจากฝั่งกัมพูชา วางทุ่นระเบิดใหม่จนประเทศไทยต้องสร้างรั่ว แต่การยกเลิก MOU 2543 ก็คือการยกเลิกกรอบการเจรจาที่ไม่เป็นธรรม แล้วถอยไปยังการเจรจาคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา (JBC)ใหม่ เหมือนกับที่ประเทศไทยได้เคยเจรจาในเรื่องเขตแดนกันระหว่างปี 2540-2543 ถึง 4 คร้้งโดยไม่มี MOU ด้วยซ้ำ

เพราะก่อนมี MOU 2543 ไทยและกัมพูชาก็มี JBC ในเรื่องเขตแดนมาก่อน ดังนั้นก็เพียงแค่ถอยไปเจรจากันใหม่ สิ่งที่ยุติกันได้มาก่อนในระหว่าง MOU 2543 ก็เป็นเรื่องทางเทคนิกที่พิสูจน์ไปล้ว จะทบทวนกี่ครั้งมันก็เป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ และมีอีกหลายประเทศก็ไม่ได้มี MOU ใดๆ ไม่เห็นว่าจะมีนานาชาติใดมาแทรกแซงกันได้เลยในเรื่องเขตแดนตามคำขู่่ที่พยายามทำกันอยู่ในขณะนี้ ถึงแม้จะตกลงกันไม่ได้ ก็ยังตรึงกำลังอยู่ในสภานภาพไม่ต่างปัจจุบันอยู่ดี

และจำเป็นต้องตั้งสติให้ว่าเขตแดนสยามกับฝรั่งเศสได้แบ่งปันกันและถึงขั้นทำหลักเขตแดนเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว ในสมัยโบราณใช้สันปันน้ำซึ่งบางส่วนเป็นขอบหน้าผาเห็นได้ถนัดชัดแจ้ง บางส่วนเป็นคลอง และบางส่วนเป็นเส้นตรงที่ใช้หลักเขตแดน มายุคนี้เราเพียงมาแค่ยืนยืนให้มีความถูกต้องและขัดเจนขึ้นเท่านั้น จึงไม่ใช่มาบอกว่า ถ้าไม่มี MOU 2543 ไทยกัมพูชาจะไม่มีเขตแดนเลย และจะต้องถูกนานาชาติเข้าแทรกแซงแน่ เพราะถ้าเป้นเช่นนั้นจริงประเทศไทยอยู่มาได้อย่างไรตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปี 2542 โดยไม่มี MOU แม้แต่ฉบับเดียว

สุดท้ายมีบางคนชอบขู่ว่าถ้ายกเลิก MOU 2543 จะทำให้ไทยและกัมพูชาต้องไปศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ก็ขอให้พิจารณาดูว่าขนาดมี MOU 2543 ก็ไม่สามารถป้องกันกัมพูชายื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในการตีความเพิ่มเติมให้ประเทศไทยต้องถอยเพิ่มเติมในปี 2546 โดยที่ MOU 2543 ไม่สามารถป้องกันได้เลย

เพราะความจริงในปัจจุบันประเทศไทยหลังคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2505 แล้วประเทศไทยก็ไม่เป็นสมาชิกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเลย และในเวทีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะตัดสินได้ทั้ง 2 ประเทศต้องยินยอมพร้อมใจกันทั้งสิ้น ดังนั้นหากประเทศไทยไม่ยินยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแต่เพียงอย่างเดียว กัมพูชาย่อมไม่สามารถทำอะไรประเทศไทยได้

ดังตัวอย่างกัมพูชาได้อ้างว่ายื่น คดีปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องบก ให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ก็ดูว่าจนป่านนี้แล้วกัมพูชาสามารถลากไทยขึ้นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้จริงหรือไม่

ฮุนเซนเป็นคนเจ้าเล่ห์ พอรู้ว่าประเทศไทยจะทำประชามติและมีความไม่พอใจฮุนเซน ก็ปล่อยข่าวให้ประชาชนไทยหลงกล ว่าฮุนเซน ต้องการยกเลิก MOU 2543 MOU 2544 เพื่อทำให้ประชาชนไทยสับสน เหมือนกับที่ฮุนเซน โกหกในทางสาธารณะทั่วโลกเพื่อเก็บอาการตัวเองมาโดยตลอดทุกๆ เรื่อง เราจึงต้องตั้งสติให้ดีจากรายละเอียดดังที่แจ้งข้างต้น

ด้วยเหตุผลดังกล่าวผมจึงขอเป็น 1 เสียงที่จะยกเลิก MOU 2543 ต่อไป

ด้วยจิตคารวะ

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน
2 ตุลาคม 2568

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1328424625317901&id=100044511276276












กำลังโหลดความคิดเห็น