เว็บไซต์ข่าว Malay Mail ได้เผยแพร่บทความจากนักวิชาการด้านอาเซียนศึกษา ซึ่งออกมาเตือนให้รัฐบาลนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานอาเซียน ดำเนินการอย่างรอบคอบในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไทย-กัมพูชา พร้อมย้ำให้ระวังกัมพูชาที่อาจกำลัง "แสดงบทเหยื่อ"
ดร. ฟาร์ คิม เบง (Phar Kim Beng) ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านอาเซียนศึกษาจากมหาวิทยาลัยอิสลามนานาชาติแห่งมาเลเซีย และผู้อำนวยการสถาบันการศึกษานานาชาติและอาเซียน (IINTAS) ชี้ว่า ความขัดแย้งที่คุกรุ่นระหว่างไทยและกัมพูชาตามแนวชายแดนจังหวัดสระแก้วอาจดูเหมือนเป็นเรื่องราวที่คุ้นเคยอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการใช้แผนที่คนละฉบับ และความขัดแย้งระหว่างเพื่อนบ้าน ทว่าปัญหาที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือเรื่องเล่าต่างๆ ที่ถูกสร้าง เผยแพร่ และถูกนำไปใช้เป็นอาวุธ ซึ่งอาจส่งอิทธิพลต่อการทูตระดับภูมิภาค
ดร. ฟาร์ ชี้ว่า มาเลเซียซึ่งกำลังถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งจากถ้อยแถลงและรายงานจากพนมเปญ ควรจะต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
เหตุการณ์ที่บ้านหนองหญ้าแก้วแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของข้อตกลงหยุดยิง กองทัพบกไทยระบุว่า กัมพูชามีความผิดฐานละเมิดข้อตกลงหยุดยิงซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยใช้โดรน ทุ่นระเบิด และการระดมม็อบจัดตั้งที่ข้ามเข้ามาในดินแดนไทย
รัฐบาลไทยยืนยันว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่พื้นที่พิพาท ทว่าเป็นดินแดนของไทยอย่างชัดเจน โดยชี้ถึงหลักเขตและการควบคุมบริหารที่ขึ้นตรงกับไทยมาหลายทศวรรษ
จากมุมมองของไทย การใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางไม่นับเป็นการรุกราน ทว่าเป็นการตอบโต้เชิงป้องกันต่อผู้ประท้วงที่ดึงลวดหนามและขว้างปาก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่ รัฐบาลไทยยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้ดำเนินการด้วยความยับยั้งชั่งใจ และอยู่ในขอบเขตของการธำรงรักษาอธิปไตย
ในทางกลับกัน กัมพูชาได้ตีกรอบเหตุการณ์นี้อย่างรอบคอบว่าเป็นการแสดงความเป็นปรปักษ์ของไทยต่อพลเรือนที่เปราะบาง การนำผู้หญิง เด็ก และพระสงฆ์ไปไว้แนวหน้าในการประท้วงทำให้ฝ่ายพนมเปญเปลี่ยนการปะทะให้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับนานาชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาพของพระสงฆ์ในชุดสีเหลืองอมส้มที่ไอจากแก๊สน้ำตานั้นทรงพลังยิ่งกว่าการโต้แย้งทางเทคนิคเกี่ยวกับพิกัดชายแดน
นี่คือจุดที่เดิมพันของมาเลเซียยิ่งซับซ้อนขึ้น เนื่องจากนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต แห่งกัมพูชาได้ใช้ความพยายามทั้งทางตรงและทางอ้อมที่จะวางตำแหน่งมาเลเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ว่าเห็นใจต่อคำกล่าวอ้างของกัมพูชามากกว่าไทย
กองทัพไทยได้แถลงไปไกลถึงขั้นชี้ว่า มาเลเซียกำลัง "ถูกหลอก" ด้วยคำบอกเล่าของฝ่ายพนมเปญ
หากมาเลเซียถูกมองว่ารีบร้อนเข้าข้างกัมพูชา ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้ต้องแตกแยกกับไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งอาเซียน และเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญในความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง
มุมมองดังกล่าวอาจบั่นทอนความสามารถของมาเลเซียในการไกล่เกลี่ยไม่เพียงแค่ความขัดแย้งนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงข้อพิพาทอื่นๆ ซึ่งความเป็นกลางและความไว้วางใจถือเป็นสิ่งสำคัญ
ความเสี่ยงในด้านชื่อเสียงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความสัมพันธ์ภายนอกเท่านั้น ในประเทศเองชาวมาเลเซียก็มักให้ความสนใจเรื่องราวความอยุติธรรมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานของพระสงฆ์ สตรี หรือเด็ก หากรัฐบาลเพิกเฉยต่อเรื่องราวเหล่านี้ก็อาจถูกกล่าวหาว่าขาดความเห็นอกเห็นใจ แต่หากรัฐบาลสะท้อนเรื่องราวเหล่านี้ออกไปอย่างไม่วิพากษ์วิจารณ์เลย ก็อาจถูกมองว่าไร้เดียงสา หรือสละการสร้างสมดุลทางการทูตในระยะยาวเพื่อแสวงหาการยอมรับจากประชาชนในระยะสั้น
สำหรับอาเซียนแล้ว ความผิดพลาดของมาเลเซียอาจก่อผลลัพธ์ที่รุนแรง อาเซียนภาคภูมิใจในการเป็นตัวกลางที่ซื่อสัตย์ รักษาความเป็นกลางแม้ในขณะที่ผลักดันคู่กรณีให้ลดความขัดแย้ง ฉะนั้นหากสมาชิกหลักรายใดรายหนึ่งถูกมองว่าลำเอียงก็จะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือโดยรวมของอาเซียนในการแก้ไขความขัดแย้ง ไม่ว่าจะในประเด็นทะเลจีนใต้ พม่า หรือที่อื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ มาเลเซียจึงต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการรวบรวมหลักฐานที่ครบถ้วนจากทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งหมายถึงการไม่เพียงแต่รับฟังผู้สังเกตการณ์ชาวกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังต้องยืนยันที่จะรายงานเหตุการณ์ทั้งหมดของไทย ซึ่งรวมถึงรายงานปฏิบัติการ ภาพถ่ายดาวเทียม และภาพวิดีโอที่มีอยู่
ประการที่สอง มาเลเซียควรเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอย่างเป็นกลางผ่านอาเซียน การเพิ่มคณะผู้สังเกตการณ์จากหลายประเทศสมาชิกจะช่วยให้สามารถยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่บ้านหนองหญ้าแก้วได้อย่างเป็นอิสระ กลไกดังกล่าวจะช่วยป้องกันไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผูกขาดเรื่องราว และจะช่วยเสริมสร้างบทบาทของอาเซียนในฐานะผู้ค้ำประกันสันติภาพในภูมิภาค
ประการที่สาม มาเลเซียควรวางกรอบแถลงการณ์สาธารณะอย่างสมดุล การแสดงความห่วงใยด้านมนุษยธรรมต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นสิ่งสำคัญ แต่การตระหนักว่าความตึงเครียดบริเวณชายแดนมักไม่เกิดขึ้นเพียงฝ่ายเดียวก็สำคัญเช่นกัน การเน้นย้ำถึงความยับยั้งชั่งใจ การเจรจา และการปฏิบัติตามข้อตกลงจะทำให้มาเลเซียสามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจได้ โดยไม่ตกเป็นเหยื่อของการใช้อิทธิพลจูงจมูก
ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาสะท้อนให้เห็นว่าเพราะเหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงมีความจำเป็น ตั้งแต่การปะทะกันที่ปราสาทพระวิหารในช่วงต้นทศวรรษ 2010 ไปจนถึงการปะทะกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าตามแนวชายแดนที่ยังขาดเส้นแบ่งเขต ทั้งสองประเทศมักต่อสู้กันด้วยวาจาและอาวุธ ความเห็นอกเห็นใจของนานาชาติมักถูกปลูกฝังผ่านภาพที่สะเทือนอารมณ์ และการเลือกนำเสนอเรื่องราวเฉพาะในบางแง่มุม
มาเลเซียต้องตระหนักถึงพลวัตเหล่านี้ ซึ่งก็คือความพยายามดึงผู้เล่นภายนอกเข้าไปช่วยยืนยันคำกล่าวอ้างที่ต่างฝ่ายต่างโต้แย้งกันอยู่ การตกหลุมพรางเช่นนี้จะทำลายสถานะของมาเลเซียในฐานะผู้นำระดับภูมิภาคที่น่าเชื่อถือและรอบคอบ
ท้ายที่สุดแล้ว ข้อพิพาทที่บ้านหนองหญ้าแก้วไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของพื้นที่พิพาท แต่เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ ชื่อเสียง และความไว้วางใจ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ แต่ทรงพลังมหาศาลในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเมื่อสูญเสียไปแล้วก็ยากที่จะกอบกู้กลับคืนมาได้
ดังนั้น ภารกิจของมาเลเซียจึงชัดเจน นั่นก็คือการธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี ปฏิบัติตนเป็นกลางอย่างมีข้อมูล และแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนทางศีลธรรม การทำเช่นนี้จะช่วยให้มาเลเซียสามารถธำรงรักษาบทบาทของตนในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยที่ได้รับความเคารพ และมั่นใจได้ว่าจะไม่ตกเป็นเบี้ยในสงครามเรื่องเล่าของผู้อื่น
บทเรียนนี้แม้เรียบง่ายแต่แฝงความหมายลึกซึ้ง ในข้อพิพาทลักษณะนี้ ดินแดนอาจเป็นของรัฐ แต่เรื่องเล่าเป็นของใครก็ตามที่เล่าได้อย่างน่าเชื่อถือที่สุด สำหรับมาเลเซียแล้วความรับผิดชอบก็คือการหลีกเลี่ยงการถูกดึงเข้าไปในเรื่องราวที่สร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และต้องยืนหยัดอย่างมั่นคงบนหลักการแห่งความจริง ความสมดุล และเสถียรภาพในภูมิภาค
เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ถูกโต้แย้งไม่ได้เป็นเพียงเรื่องดินแดนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถของอาเซียนในการรักษาความไว้วางใจในหมู่สมาชิก ชื่อเสียงของมาเลเซียในฐานะผู้เล่นที่เที่ยงธรรม และศักยภาพร่วมกันของภูมิภาคในการบริหารจัดการกิจการของตนเองโดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก สิ่งเหล่านี้คือการแข่งขันที่มีความสำคัญยิ่งกว่าพื้นที่ชายแดนใดๆ
ที่มา: Malay Mail