เปิดนโยบาย “รัฐบาลอนุทิน” แก้ปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา โยนปัญหา MOU43-44 ให้ประชาชนตัดสินใจผ่านการทำประชามติ สวนทางก่อนหน้านี้พรรคภูมิใจไทยแสดงท่าที่ชัดเจนว่าต้องยกเลิกโดยเร่งด่วน หลังเป็นรัฐบาลมีอำนาจยกเลิกได้ทันทีด้วยมติ ครม. กลับเตะลูกเข้า กมธ.ที่ “ไชยชนก” เป็นประธาน แล้วขาดประชุม 2 ครั้ง ปล่อย “จักรภพ” คุมเกม
วันนี้ (25 ก.ย.) มีการเปิดเผยร่างคำแถลงนโยบายรัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาในวันจันทร์ที่ 29 ก.ย.นี้ โดยมีนโยบายทั้งหมด 5 ด้าน 15 ข้อ
นโยบายที่ประชาชนกกำลังจับตามอง คือ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งอยู่ในนโยบายด้านความมั่นคง ข้อ 6 ระบุว่า “เร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา ด้วยแนวทางสันติภาพ เพื่อนำความมั่นคงปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนตามบริเวณชายแดนโดยเร็วและรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและเขตแดนที่เป็นของไทยโดยชอบธรรมตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากล รวมถึงดำเนินการยุติความขัดแย้งผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกัน ประเทศที่เข้มแข็ง ตลอดจนทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจ ให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างไทย-กัมพูชา”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นโยบายที่จะทำประชามติเรื่อง MOU ดังกล่าว ถือว่าไม่ตรงกับท่าทีของพรรคภูมิใจไทยที่เคยแสดงออกในช่วงก่อนเป็นรัฐบาล ซึ่งมีความชัดเจนว่า จะต้องเลิก MOU43 - MOU44 โดยด่วน
โดยหลังจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา เข้าสู่ภาวะตึงเครียด ได้เกิดกระแสเรียกร้องให้ยกเลิก MOU43 - MOU44 ขึ้นทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2568 นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.พรรคภูมิใจไทย จังหวัดกระบี่ ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขอให้เร่งดําเนินการยกเลิกบันทึก MOU43 และ MOU44 โดยเร่งด่วน โดยให้เหตุผลว่า ส่งผลกระทบต่ออธิปไตยและผลประโยชน์ของประเทศไทย ก่อให้เกิดการตีความในทางที่เสียเปรียบแก่ประเทศไทย อีกทั้งยังไม่ได้ผ่านการให้ความเห็นชอบจากรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
ต่อมา วันที่ 30 ก.ค.ที่รัฐสภา นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยตัวแทนจากพรรคพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่ลงชื่อจำนวน 34 คน ได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาดำเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจหรือ MOU2543 - MOU 2544 ต่อนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่หนึ่งขณะนั้น
นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่เคยทำ MOU กับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย ลาว หรือเมียนมา เราไม่เคยทำ MOU ในลักษณะแบบนี้ แต่ทำกับประเทศกัมพูชาประเทศเดียว เนื้อหาสาระที่เป็นห่วงคือเราพยายามจะใช้แผนที่ 1 : 50,000 แต่กัมพูชามีความพยายามใช้แผนที่ 1 : 200,000 ไม่มีใครที่ไหน ต้องการทำให้แผนที่มีความหยาบ จึงมีความเป็นห่วงว่าหากเราใช้สัดส่วน 1 : 200,000 เมื่อลากเส้นตรงไปจะติดเกาะกูดของเราไปด้วย
“ผมสงสารประชาชน เด็กบริสุทธิ์ที่ถูกกระสุนปืนจากฝั่งกัมพูชายิงมาที่โรงพยาบาล บ้านเรือนประชาชน ทหารของประเทศไทยที่ออกไปเสียเลือดเนื้อตายฟรีๆ มันจะแลกได้กับทรัพย์มรดกหรือว่าที่ดินของกัมพูชาจะคุ้มกับชีวิตบริสุทธิ์ของคนไทยหรือไม่ วันนี้เราทุ่มงบในเรื่องของอาวุธและอพยพคน เราเสียทุกสิ่งอย่างและไปเจรจายุติกันที่ประเทศมาเลเซีย พี่น้องก็เห็นแล้วว่าฝั่งกัมพูชาหลังเที่ยงคืนยังมีเสียงปืน อย่างนี้เราจะไปยึดถือ MOU43, 44 ได้อย่างไร ผมคิดว่าถ้ารัฐบาลชุดนี้อยากจะมี MOU ทำความเข้าใจกับคนที่ไร้สติ ก็ไปทบทวนกันใหม่จะมาทำ MOU ปี 68 หรือ 69 ก็ให้มีสติก่อน ให้เขาไปหายามารักษาให้มีสติที่สมบูรณ์ก่อน” นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าว
ขณะที่ นายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย แสดงจุดยืนเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 เสนอให้มีการยกเลิก MOU2543-2544 โดยให้เหตุผลว่า MOU ทั้งสองฉบับส่งผลกระทบต่อเขตแดน และปัจจุบันไทยกำลังเผชิญการรุกล้ำดินแดนอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นความไม่เป็นธรรม นี่คือจังหวะเหมาะสมที่สุดที่รัฐบาลควรหยิบประเด็น MOU43 และ 44 มาพิจารณายกเลิก เนื่องจากกัมพูชาแสดงออกถึงการไม่เคารพกฎเกณฑ์ด้วยการละเมิดข้อตกลงหลายครั้ง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นของความไม่ไว้วางใจในรัฐบาล และข้อกังวลว่า MOU สองฉบับนี้มีเป้าหมายสำหรับประโยชน์ต่อสองตระกูลมากกว่าต่อสองประเทศ
ทั้งนี้ การยกเลิก MOU43 และ 44 สามารถทำได้โดยคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติให้ยกเลิก แม้ว่า ในปี 2554 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะนำ MOU2543 ไปขึ้นทะเบียนเป็นสนธิสัญญาต่อสำนักเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ แต่สามารถยกเลิกได้ ตามอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ.1969 ด้วยเหตุที่กัมพูชาฝ่าฝืนสนธิสัญญาอย่างร้ายแรง เพราะเป็นฝ่ายเปิดฉากสงครามกับไทยก่อน ในวันที่ 24 ก.ค. 2568 มีการยิงถล่มสถานที่ของพลเรือน ร้านสะดวกซื้อ ปั๊มน้ำมัน ศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน โรงพยาบาลหลายแห่งทำให้เกิดความเสียหายอย่างหนัก รวมถึงการวางทุ่นระเบิดทำให้ทหารไทยขาขาดไปแล้ว 6-7 นาย ถือว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม พรรคภูมิใจไทยเมื่อได้เป็นแกนนำรัฐบาล ไม่ได้ใช้วิธีการดังกล่าวในการยกเลิก MOU43-44 โดยปล่อยให้เป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ (MOU) 2543 และ 2544 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา ที่ตั้งขึ้นตามมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2568
ในการประชุมคณะกรรมาธิการชุดดังกล่าววาระแรกเมื่อวันที่ 10 ก.ย.หลังจากนายอนุทิน ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ แล้ว ที่ประชุมมีมติเพื่อเลือก นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย เป็นประธานกรรมาธิการ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตที่ปรึกษารองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตัวแทนพรรคเพื่อไทย เป็นรองประธาน คนที่ 1 นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส. กระบี่ พรรคภูมิใจไทย เป็นรองประธานคนที่ 2
ส่วนกรรมาธิการคนอื่นๆ มี อาทิ นายศุภโชติ ไชยสัจ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน รองประธาน คนที่ 3 หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี รองหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ รองประธาน คนที่ 4 นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รองประธาน คนที่ 5 นายธนาธร โล่ห์สุนทร สส. ลำปาง พรรคเพื่อไทย เลขานุการคณะกรรมาธิการ นายวรศิษฎ์ เลียงประสิทธิ์ สส. สตูล พรรคภูมิใจไทย โฆษกคณะกรรมาธิการ นายปิยรัฐ จงเทพ สส. กทม. พรรคประชาชน โฆษกคณะกรรมาธิการ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตกรุงพนมเปญ กรรมาธิการและประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา กรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม กรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ
ต่อเมื่อเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2568 นายไชยชนก ได้ลงนามแต่งตั้ง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เป็นที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า หลังจาก นายไชยชนก ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมาธิการแล้ว มีการประชุมกรรมาธิการ 2 ครั้ง แต่นายไชยชนก ขาดประชุมทั้งสองครั้ง ทำให้ นายจักรภพ เพ็ญแข รองประธานกรรมาธิการคนที่ 1 โควตาของพรรคเพื่อไทย เป็นประธานการประชุมมาโดยตลอด
ในการประชุม 2 ครั้งที่ผ่านมา นายปานเทพ ได้ยกเลิกนัดหมายอื่นเพื่อมาเข้าประชุมกรรมาธิการ ในฐานะที่ปรึกษา แต่กลับถูกกีดกันแทบจะไม่ได้แสดงความเห็นในที่ประชุม ทั้งๆ ที่นายปานเทพเป็นคนหนึ่งที่เกาะติดเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2553-2554 แต่นายจักรภพ ในฐานะประธาน อ้างว่า ต้องให้กรรมาธิการตัวจริงซึ่งส่วนมากเป็นฝ่ายสนับสนุน MOU ได้พูดก่อน โดยแทบจะไม่เปิดโอกาสบรรดาที่ปรึกษาได้แสดงความเห็นข้อมูลอีกด้าน หรือการคัดค้าน MOU แต่อย่างใด
นอกจากนี้ ยังพบว่า การจัดการและดำเนินการประชุมไม่มีความเป็นมืออาชีพ เพราะเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ MOU เอกสารแนบ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง TOR 2546, คำพิพากษาศาลโลก, รายงานการประชุม JBC, GBC, คำคัดค้าน ฯลฯ ก็ไม่มี มีแต่บันทึกการประชุมเท่านั้น