เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้มีแต่คนประเมินว่า พรรคเพื่อไทยกำลังอยู่ในภาวะถดถอย หรือแม้แต่มองว่า “มองไม่เห็นอนาคต” อันใกล้นี้ เพราะในเมื่อ “ครอบครัวชินวัตร” เป็นเจ้าของ มีการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ แต่เมื่อเจ้าของกำลังอยู่ในภาวะที่ไม่ได้รับความนิยม และไร้ความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดีพวกเขาก็ยัง “ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือ” ขณะเดียวกัน หากต้องการไปต่อ ก็ยังไม่อาจ “หาหัวใหม่” เข้ามาสวมแทนได้เลย ก็ยิ่งทำให้อยู่ในภาวะอึดอัด กดดัน จะเดินหน้า ถอยหลังก็ไม่ได้
เวลานี้การเมืองใน“ภาพใหญ่” ลักษณะแบบ “ครอบครัว” เริ่มไม่ได้รับการยอมรับ แม้ว่ายังมีเรื่อง“บ้านใหญ่” ที่ส่งต่อกันแบบรุ่นต่อรุ่นกันในหลายจังหวัด แต่ถึงอย่างไรการเมืองระดับประเทศ ที่เป็นกระแสหลัก ย่อมไม่ใช่ภาพลักษณ์เป็นบวกแน่นอน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยกำลังประสบอยู่ในเวลานี้ ล้วนเป็นผลมาจากความล้มเหลวของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกผลักดันขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่การเป็นผู้นำทางการเมือง แต่ไม่สามารถสร้างความโดดเด่นได้เลย
ขณะเดียวกัน เมื่อ“ลูกล้มเหลว” ก็ย่อมส่งผลกระทบมาถึง “พ่อ” คือนายทักษิณ ชินวัตร เข้าอย่างจัง ในฐานะที่เป็นคนผลักดันเข้ามา และทำหน้าที่ไม่ต่างจาก“ผู้บริหารตัวจริง” อีกทั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์ “ป่วยทิพย์ชั้น 14” กลายเป็นภาพของ “อภิสิทธิ์ชน” ผิดยุคสมัย ทุกอย่างก็ยิ่งเลวร้าย และโดยเฉพาะเมื่อเจอกับ “คลิปลับฮุน เซน” กลายเป็นหายนะอย่างที่เห็น ทุกผลสำรวจที่ออกมา ล้วนติดลบ
บรรดานักวิจารณ์การเมือง ต่างก็มองเห็นไปในทางเดียวกัน ว่าเวลานี้พรรคเพื่อไทย กำลังอยู่ในภาวะตกต่ำอย่างหนัก และกำลังจับตากันว่า “เลือดไหล” หรือมีการย้ายออกจากพรรคกันหลายคน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน ที่เป็นฐานเสียงหลักของพรรคในช่วงที่ผ่านมา
หนึ่งในนั้นมี นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ให้ความเห็นก่อนหน้านี้ ว่า พรรคเพื่อไทยอยู่ในสภาพอึดอัดทางการเมืองกับตัวเองอย่างยิ่ง เพราะต้องต่อสู้เพื่อรักษาความนิยมของพรรคเท่านั้น ดังนั้นจึงยากที่จะไปแข่งขันช่วงชิง สส.จากพรรคอื่น และพื้นที่อื่นในภาคอีสาน
ส่วนการเลือกตั้งซ่อม เขต 5 ศรีสะเกษ ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นไป เมื่อวันที่ 28 กันยายน ที่ผ่านมา แม้เป็นเลือกตั้งเขตเดียว แต่จะเป็นดัชนีชี้วัดทางการเมืองไปถึงเลือกตั้งใหญ่ หลังมียุบสภาไม่เกิน 4 เดือน ดังนั้น สนามเลือกตั้งนี้ จึงเป็นสนามจริง เพราะจำนวน สส.ของพรรคเพื่อไทยอยู่ในภาคอีสานมากที่สุด
อีกทั้งกล่าวว่า การเลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษครั้งนี้ สู้กันยิบตา ฟาดกันเต็มที่ ระหว่างพรรคเพื่อไทยเจ้าของพื้นที่เดิมกับพรรคภูมิใจไทย ที่เข้าแข่งขันชิงชัย อย่างไรก็ตาม ผลแพ้-ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเป็นผลพวงถึงการเลือกตั้งใหญ่ ว่า สส.อีสานในเขตอื่นๆ จะตัดสินใจย้ายพรรคกันหรือไม่
“ผลการเลือกตั้งเป็นลบกับพรรคเพื่อไทย (เพื่อไทยแพ้เลือกตั้ง) การห้ามเลือดจะยากที่สุด เพราะการเลือกตั้งใหญ่ จะเกิดการไหลออกของ สส.และความเชื่อของประชาชนที่จะเลือกพรรคใด โดยพรรคเพื่อไทยจะรักษาแชมป์ ได้หรือไม่ ซึ่งประเมินแล้ว คงยากเต็มที"
อีกทั้งกล่าวว่า ปัจจัยความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งวูบวาบ คุกรุ่นได้ตลอดเวลา จะเป็นเครื่องชี้วัดความนิยมทางการเมืองของ สส.อีสานได้อย่างยิ่งยวด และตัวแปรการเมืองนี้ ยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยเสียหายมากขึ้น
“ศรีสะเกษ เป็นพื้นที่เดิมของพรรคเพื่อไทย และการเลือกตั้งที่ผ่านมา (ปี 66) เพื่อไทย ใช้ยุทธการไล่หนู ตีงูเห่า จนชนะเลือกตั้ง ครอบครองพื้นที่ข้างมากไว้ได้ แต่ สส.จังหวัดนี้ ประมาณ 2-3 คน รับรู้กันว่า ได้ถอยหนีจากเพื่อไทยแล้ว”
นายจตุพร ประเมินว่า การเลือกตั้งนี้เป็นประตูสู่การเลือกตั้งสนามใหญ่ทั่วประเทศ และเป็นหลักจิตวิทยา ดังนั้น จึงเป็นสนามเดิมพันสกัด สส.ไหลออกจากเพื่อไทย ถ้าพรรคใดชนะ จะนำไปสู่การได้เปรียบในพื้นที่อื่นในภาคอีสานค่อนข้างมากด้วย
ขณะที่ นายสุวิชา เป้าอารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล ส่วนสีแดง ผมประเมินว่าน่าจะได้ สส.ไม่เกินครึ่งจากที่เคยได้ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งครึ่งหนึ่งก็คือประมาณเจ็ดสิบที่นั่ง แต่ผมกะว่าสักประมาณหกสิบที่นั่ง ตัวเลขจะหล่นมาเยอะ และสิ่งที่เราจะเห็นก็คือ สีแดงเมื่อรวมกับสีส้ม รวมกันแล้วไม่ถึง 250 ที่นั่ง แล้วจะถูกทิ้งให้เป็นฝ่ายค้าน ทำให้รัฐบาลสมัยหน้า สภาสมัยหน้า จะถึงเวลาที่แฟนเก่าจำเป็นต้องมารักกัน ก็คือ ส้ม กับแดง จำเป็นต้องมารักกัน คือกลับมาเป็นฝ่ายค้านคู่กันอีกครั้งหนึ่ง
ส่วนในช่วงการเลือกตั้งปีหน้า หากนายทักษิณ ชินวัตร พักโทษออกมาจากเรือนจำก่อนหนึ่งปี จะด้วยกฎ หรือระเบียบอะไรก็ตามแต่ แล้วเกิดสร้างความสงสัยให้กับประชาชนทั้งประเทศ ว่าออกมาโดยถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม หรือไม่ หากคนเกิดความรู้สึกว่า ไม่ถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม ก็ทำให้นายทักษิณ จะไปดึงคะแนนลงมาอีกรอบ แต่หากอยู่จนครบหนึ่งปี แล้วออกมาแบบแมนๆ ไม่มีคนตั้งคำถามอะไรอีกต่อไป การเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่ใช่การเลือกตั้งที่จะมีขึ้น แต่เป็นการเลือกตั้งครั้งถัดไปอีก จะสามารถนำพรรคเพื่อไทยได้สบายเลย เมื่อคราวนี้แพ้ ก็ยอมเถอะ อย่าดิ้นเลย บางทีถ้ามันไม่ไหวก็ถอยบ้าง ไม่มีใครได้อะไรทุกอย่างในชีวิต
เมื่อสรุปในภาพรวมๆ สำหรับพรรคเพื่อไทยเวลานี้ กำลังอยู่ในภาวะที่ไปต่อลำบาก เพราะเวลานี้ด้วยเงื่อนล็อกทางกฎหมาย ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไปต่อในตำแหน่งการเมืองไม่ได้แล้ว ขณะเดียวกัน แม้จะไปต่อได้ แต่ด้วยสภาพการณ์แล้วเชื่อว่า “คงเข็นไม่ขึ้น” แล้ว ทำให้เวลานี้หาคนในครอบครัวมา “นำพรรค” ต่อไปได้ยากเต็มที ที่ผ่านมามีการ “โยนหิน” ให้ “ลูกเขย” คือ นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีของ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ขึ้นมา แต่ก็ยังไม่ถือว่าได้รับเสียงตอบรับจากสังคมทั่วไป นอกจากบรรดาคนในพรรค และคนเสื้อแดง หน้าเดิมๆ เท่านั้น
ดังนั้น ในทางการเมืองนาทีนี้สำหรับ “ชินวัตร” อาจถือว่า “ตกยุค”ไปแล้ว รวมไปถึง นายทักษิณ ชินวัตร ที่ขายไม่ได้ สังคมคนรุ่นใหม่ ไม่ได้รู้จักชื่นชม ในลักษณะ“ฟีเวอร์” เหมือนในยุคหลายปีก่อน และยิ่งในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น ยิ่งเลือกตั้งเร็วเท่าไหร่ บาดแผลที่ยังไม่ตกสะเก็ดดีนัก จะยิ่งตอกย้ำความล้มเหลวให้เห็น ถึงขั้นมีเสียงปรามาสว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยอาจจะลดฮวบลงมาเหลือ ส.ส.แค่หลักหกสิบคน แบบนี้ถือว่าหายนะ เลยแล้วกัน !!