เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่า “เซอร์ไพรส์” ก็อาจจะใช่ สำหรับผลสำรวจของ “นิด้าโพล” ล่าสุดที่เผยออกมา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน ที่ผ่านมา จับประเด็นได้ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย คะแนนนิยมพุ่งพรวด ไล่จี้ติดนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ก็คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น
แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็สามารถมองเห็นความจริงทางการเมืองได้ดีว่าเมื่อ “มีอำนาจ”ในมือ หากรู้จักบริหารจัดการ ความนิยมและ “กระแส” ก็จะอยู่ในมือ เหมือนกับกรณีของนายอนุทิน ที่ใช้โอกาสการเป็นผู้นำรัฐบาล และจับทิศทางความรู้สึกของสังคมได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าต้องมองกันอีกระยะหนึ่งในช่วงสั้นๆ ว่าจะสามารถพิสูจน์ และสร้างความนิยมได้เพิ่มขึ้นหรือไม่
ส่วนพรรคประชาชนนั้น จากเดิมที่ถือว่าเติบโตมากับ“กระแส” ซึ่งจะเรียกว่า “กระแสเผด็จการกับประชาธิปไตย” จนเติบใหญ่พรวดพราด แต่เวลานี้และรวมไปถึงแนวโน้มในอนาคต แม้ว่ายังจะเป็นพรรคใหญ่ แต่เมื่อพิจารณาให้ละเอียดแล้ว ถือว่าเริ่ม “คงที่” และ“เริ่มถดถอย” จากบรรยากาศการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ความฝันที่ประกาศอย่างมั่นใจ ว่าการเลือกตั้งคราวหน้า พวกเขาจะชนะอย่างถล่มทลาย เพื่อมาตั้งรัฐบาลพรรคเดียวนั้น ดูท่าจะต้องฝันสลายเสียแล้ว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากบรรยากาศและสถานการณ์ทางการเมืองจริงในเวลานี้ เพื่อสะท้อนให้เห็นแนวโน้มวันข้างหน้าก็ต้องบอกว่า เวลานี้ พรรคประชาชนและหัวหน้าพรรคคือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ไม่ได้มีความนิยมในลักษณะที่เป็น “ฟีเวอร์”ได้เลย อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้โดนเด่น ทั้งในเรื่อง “ความแหลมคม” ทั้งในเรื่องบุคลิก วุฒิภาวะ และที่สำคัญด้วยบรรยากาศประชาธิปไตย จากเดิมที่เป็นยุค “3 ป.” มีเรื่องของเผด็จการ การกดขี่ อะไรประมาณนี้มาสร้างวาทกรรมหาเสียงอย่างได้ผล ประกอบกับ “กระแสฮีโร ทหาร” ทำให้จากเดิมที่มีความพยายาม “ลดบทบาทกองทัพ” เริ่มมีกระแสตีกลับ
หรือแม้แต่กรณี “ร่างรัฐธรรมนูญ”ใหม่ นาทีนี้ถือว่าสังคมส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ เพราะหากสำรวจความเห็นชาวบ้านออกมาทุกครั้ง ส่วนใหญ่เกินร้อยละ 70 ยังบอกว่า หากมีการแก้ไขอยากให้ “แก้รายมาตรา” ไม่ใช่ร่างใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งเวลานี้ก็มีพรรคประชาชน ที่กำลังมุ่งมั่นผลักดันให้มีการ “ยกร่างใหม่” และฉีกฉบับเก่าทิ้งไป อ้างว่าเป็นมรดกเผด็จการ ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ผ่านการลงประชามติจากประชาชนมาแล้ว
สำหรับ ผลสำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 3/2568”
จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 27.28 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 2 ร้อยละ 22.80 ระบุว่าเป็น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ(พรรคประชาชน) อันดับ 3 ร้อยละ 20.44 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) อันดับ 4ร้อยละ 7.16 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) อันดับ 5 ร้อยละ 6.76 ระบุว่าเป็น นายชัยเกษม นิติสิริ (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 6 ร้อยละ 6.00 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อันดับ 7 ร้อยละ 2.72 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ)
เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 33.08 ระบุว่าเป็นพรรคประชาชน อันดับ 2 ร้อยละ 21.64 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 3 ร้อยละ 13.96 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 4 ร้อยละ 13.24 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 5 ร้อยละ 6.12 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ อันดับ 6 ร้อยละ 5.52 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ อับดับ 7 ร้อยละ 2.92 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย อับดับ 8 ร้อยละ 1.72 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ และร้อยละ 1.80 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคกล้าธรรม พรรคเสรีรวมไทย พรรคไทยภักดี พรรคชาติพัฒนา และพรรคเพื่อไทยรวมพลัง
เมื่อพิจารณาจากผลสำรวจข้างต้น จะเห็นว่า ความนิยมระหว่างพรรคประชาชน กับพรรคภูมิใจไทย เห็นได้ชัดเจนว่า ความนิยมทั้งตัวหัวหน้าพรรค มีความตรงกันข้ามกันอย่างเห็นได้ชัด นั่นคือ นายอนุทิน ได้รับความนิยมพุ่งพรวด หลังจากได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว รวมไปถึงพรรคภูมิใจไทยด้วย ขณะที่ นายณัฐพงษ์ จากพรรคประชาชน ลดลงเรื่อยๆ และหากพิจารณาตามกระแส ก็น่าจะทำให้มีแนวโน้มลดลงอีก
ขณะเดียวกัน เมื่อหันมาทางพรรคเพื่อไทยที่เวลานี้อยู่ในภาวะ “ถดถอยอย่างรุนแรง” และในระยะเวลาอันสั้นนี้ยังมองไม่เห็นอนาคตที่จะสามารถพลิกฟื้นขึ้นมาได้ง่ายๆ อย่างไรก็ดี พวกเขากำลังมีเดิมพันสำคัญกับการเลือกตั้งซ่อม ที่จังหวัดศรีสะเกษ หากพ่ายแพ้ ก็จะยิ่งซ้ำเติมสถานะที่เป็นอยู่ให้สาหัสมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งหากพิจารณากันแบบข้อมูลเรียลไทม์ แบบความน่าจะเป็นล่วงหน้า โอกาสพ่ายแพ้ค่อนข้างสูงมากทีเดียว
เพราะหากพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อมคราวนี้ ย่อมจะมีโอกาส “เลือดไหล” ไม่หยุด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงหลัก และมีจำนวนส.ส.ของพรรคเพื่อไทยมากที่สุด และที่น่าจับตาก็คือ การคาดการณ์ของ นายสุวิชา เป้าอารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล”ว่า ถ้าอิงจากผลสำรวจนิด้าโพลล่าสุด เมื่อเดือนมิถุนายน ผมคิดว่าคู่แข่งสำคัญ จะเป็นการแข่งขันกันระหว่าง พรรคภูมิใจไทย กับพรรคประชาชน ซึ่งพรรคประชาชนจะได้สูงสุดไม่เกินจากเดิม คือไม่เกินประมาณ 150 ที่นั่ง ส่วนพรรคภูมิใจไทย งานนี้ขึ้นหลักร้อยแน่ แต่จะร้อยเท่าไหร่ ไม่สามารถการันตีได้ แต่คาดว่าน่าจะถึง 120 ที่นั่ง
ส่วนหากจะถามว่า พรรคประชาชนจะได้ สส.ลงมาต่ำกว่า 150 ที่นั่ง ได้สักขนาดไหน มีความเป็นไปได้สูง ที่หากพรรคประชาชน ถ้าเกิดไปพลาดท่าในเขตเมือง ไม่นับกรุงเทพมหานคร คือเขตเมืองในต่างจังหวัดทุกจังหวัด หากพรรคประชาชนพลาดท่าในเขตเมืองทุกจังหวัด เป็นไปได้ว่าสีน้ำเงิน จะแซงขึ้นไปได้หรือไม่ ตรงนี้ยังคงตั้งเครื่องหมายคำถามอยู่
ส่วนสีแดง ผมประเมินว่าน่าจะได้ สส.ไม่เกินครึ่งจากที่เคยได้ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งครึ่งหนึ่งก็คือประมาณเจ็ดสิบที่นั่ง แต่ผมกะว่า สักประมาณหกสิบที่นั่ง ตัวเลขจะหล่นมาเยอะ และสิ่งที่เราจะเห็นก็คือ สีแดงเมื่อรวมกับสีส้ม รวมกันแล้วไม่ถึง 250 ที่นั่ง แล้วจะถูกทิ้งให้เป็นฝ่ายค้าน ทำให้รัฐบาลสมัยหน้า สภาสมัยหน้า จะถึงเวลาที่แฟนเก่าจำเป็นต้องมารักกัน ก็คือ ส้มกับแดง จำเป็นต้องมารักกัน คือกลับมาเป็นฝ่ายค้านคู่กันอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ดี นั่นเป็นการอิงผลสำรวจของนิด้าโพล เมื่อเดือนมิถุนายน ยังออกมาแบบนี้ แต่หากพิจารณาจากผลสำรวจล่าสุด ที่เพิ่งออกมา จะเห็นว่าต่างกันลิบลับ แต่ก็อย่างว่า การเมืองมันไม่มีอะไรแน่นอน ยังอีกหลายเดือนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง โอกาสพลิกกลับมาของทุกพรรคได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะนายอนุทิน ชาญวีรกูล และพรรคภูมิใจไทย ที่อาจ “สะดุดขาล้มลง” ก็เป็นไปได้ เพราะยังมีหลายเรื่อง ที่พลาดไม่ได้เหมือนกัน!!