xs
xsm
sm
md
lg

“เปิดบ่อน”เรือธง “ชายคนนั้น”เสี่ยงเกยตื้น!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์
เมืองไทย 360 องศา

รับรู้กันว่า นโยบายเกี่ยวกับ “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” หรือแหล่งบันเทิงครบวงจร หรือตีความหมายให้แคบลงมาอีกว่าเป้าหมายที่ซ่อนอยู่ก็คือ “การเปิดบ่อนการพนัน” ที่มีการออกใบอนุญาตแบบถูกกฎหมาย เป็นหนึ่งในนโยบายหลัก หรือแทบจะเรียกว่า เป็น“เรือธง” ไปแล้วสำหรับรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันก็ยังรับรู้อีกว่า นี่คือการผลักดันมาจากนายทักษิณ ชินวัตร ผู้มีอิทธิพลสูงมากทั้งในรัฐบาล และในพรรค

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากสัญญาณต่างๆ ที่ออกมาในช่วงนี้ เริ่มมองเห็นเช่นเดียวกันว่า นโยบายดังกล่าว เริ่ม “เดินต่อลำบาก” มากขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับ ร่างกฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์) หรือ ร่างกฎหมายกาสิโน หรือ ว่า “กฎหมายเปิดบ่อน” แล้วแต่จะเรียกกัน

สัญญาณที่เห็นในเวลานี้ก็คือ การผลักดันเริ่มชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยก็สังเกตจากการเลื่อนการนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ที่เลื่อนมาแล้วหลายสัปดาห์ ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ก็ไม่เข้า ทำให้โอกาสที่จะร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าพิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมนี้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะอีกไม่กี่วันก็จะปิดสมัยประชุมแล้ว

ตอนแรกคิดว่าจะนำเข้าพิจารณาในวาระแรกไว้ก่อน หรือไม่ก็บรรจุเข้าระเบียบวาระค้างเอาไว้ก่อน แต่ตามรูปการณ์แล้ว คงต้องเลื่อนออกไปแบบไม่มีกำหนด

เพราะในสัปดาห์หน้า ก็เข้าสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยิ่งไม่อยากเสี่ยงให้ตกเป็นเป้า เพิ่มประเด็นการอภิปรายเข้ามาอีก ทำให้ทุกอย่างต้องเงียบเอาไว้ก่อน

แม้ว่า นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวย้ำว่า การจัดทำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) ขณะนี้กฤษฎีกาได้ตอบกลับความคิดเห็นกลับมาแล้ว โดยยอมรับว่า มีประเด็นที่ถูกแก้ไขในหลายเรื่อง ซึ่งเป็นทั้งข้อห่วงใยของสังคม โดยเฉพาะเรื่องขอบเขตพื้นที่ในการจัดตั้ง กลไกในการเข้าถึง และขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งหนังสือเวียนเพื่อขอรับความคิดเห็นจากหน่วยงานต่างๆ โดยกระทรวงการคลัง พร้อมรับความคิดเห็นดังกล่าว ก่อนส่งกลับไปยังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และผลักดันเข้าสภาต่อไป ซึ่งคาดว่าสภาจะพิจารณาได้เร็วๆ นี้ก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้กำหนดเวลาออกมาให้ชัดเจน ว่าจะเข้าพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้เมื่อใด

อย่างไรก็ดี ที่ต้องบอกว่าโอกาสของการผลักดัน “เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” หรือ “เปิดบ่อน” เป็นไปได้ยาก เนื่องจากนับวันเสียงคัดค้านดังขึ้นเรื่อยๆ มีม็อบออกมาเคลื่อนไหวล่าสุดมีการตั้งเวทีชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล เสียงคัดค้านมาจากรอบทิศทาง เนื่องจากมองเห็นตรงกันว่า มีผลลบมากกว่าผลบวก ไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ รวมถึงมีปัญหาทางสังคมตามมามากมาย

อ้างอิงจากข้อมูลของนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทยหรือ ทีดีอาร์ไอ ตั้งคำถามถึงร่างกฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) หรือ “ร่างกฎหมายกาสิโน” ไว้น่าสนใจว่า มีการยกร่างกฎหมายขึ้นมาโดยไม่มีแม้กระทั่ง “รายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ” (Feasibility Study) เลย ทั้งที่โครงการนี้เกี่ยวข้องกับเม็ดเงินมหาศาล และมีความเสี่ยงจะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย

เขาย้ำว่า ยังไม่เห็นผลการศึกษาและการวิเคราะห์ตลาดธุรกิจกาสิโนในภูมิภาคในเชิงลึกเลย ไม่ว่าจะเป็นใน มาเก๊า สิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศเพื่อนบ้าน และไม่มีข้อสรุปว่า ประเทศไทยจะทำกาสิโนในลักษณะไหน เช่น จะทำกาสิโนระดับสูง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวรายได้สูงจากต่างประเทศ หรือกาสิโนระดับมวลชนเพื่อลดการพนันผิดกฎหมายในประเทศ และจะมีผู้ประกอบการกาสิโนกี่รายในประเทศไทย จะสร้างรายได้ให้รัฐต่อปีเท่าใด และมาจากแหล่งใด

ที่น่าตกใจมากก็คือ แม้ไม่มีการศึกษาว่าตลาดกาสิโนของไทยจะมีขนาดใหญ่เพียงใด และควรมีผู้ประกอบการกาสิโนกี่รายที่ได้รับใบอนุญาตให้แข่งขันกันร่างกฎหมายกาสิโนของรัฐบาลกลับสามารถกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตได้โดยกำหนดในอัตราคงที่ไม่เกิน 5 พันล้านบาท สำหรับอายุใบอนุญาต 30 ปี บวกกับค่าธรรมเนียมรายปีอีกปีละไม่เกิน 1 พันล้านบาท

ดูเผินๆ ราคาใบอนุญาตที่กำหนดไว้อาจจะมาก เมื่อถ้าคิดดีๆ ก็จะพบความจริงที่ตรงกันข้าม เพราะค่าธรรมเนียมใบอนุญาตแต่ละใบต่อปีจะอยู่ประมาณ 1,167 ล้านบาท ซึ่งน่าจะต่ำมากเมื่อเทียบกับโอกาสในการแสวงหากำไรมหาศาลของผู้ได้ใบอนุญาต

รวมทั้งความเห็นของนักวิชาการอื่นๆ เช่น น.ส.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่า มี 2 ประเด็นที่น่าสนใจ สำหรับประเทศที่มีความพร้อมหรือไม่มีความพร้อมในการจัดตั้งเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ นั่นคือ ประเทศที่มีความพร้อมจะต้องมีการทุจริตคอร์รัปชันต่ำ ซึ่งประเทศที่มีความพร้อม จะสะท้อนจากประชากรมีคุณภาพ รายได้น้อยค่อนข้างต่ำ

ดังนั้น เมื่อมาดูของประเทศไทย จากข้อมูลผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อยู่ที่ 16 ล้านคน คิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด อีกทั้งต้องยอมรับว่าปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของไทย อยู่ในขั้นวิกฤต อยู่ลำดับที่ 107 ของโลก ดังนั้น การที่รัฐบาลบอกว่าห่วงใยประชาชน แต่เปิดเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์แล้วไม่อยากให้คนติดการพนัน ต้องย้อนถามกลับไปว่า กลไกรัฐที่มีการทุจริตรุนแรงนั้น รัฐบาลจะสามารถบังคับใชกฎหมายเพื่อดูแลในส่วนนี้อย่างมีประสิทธิภาพได้หรือไม่

อีกคนหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ รศ.นวลน้อย ตรีรัตน์ นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน เห็นว่า รัฐบาลเอาโมเดลต้นแบบจากสิงคโปร์มาไม่หมด โดยเฉพาะการจัดตั้งสภาแห่งชาติเพื่อแก้ปัญหาการพนัน เพราะกาสิโนมีความเสี่ยง โดยเฉพาะภาคสังคม ครอบครัว อาชญากรรม ปัญหาการติดการพนัน และการให้การศึกษาสำหรับเยาวชน ซึ่งกฎหมายไทย อาจไม่ได้คำนึงถึงเรื่องพวกนี้มากนัก นี่คือเรื่องที่กังวลใจและห่วงใยมาก เพราะไม่ว่าจะทำดีอย่างไร เป็นกาสิโนถูกกฎหมาย แต่อาชญากรจะชอบมาก เพราะการฟอกเงินในกาสิโนที่ถูกกฎหมาย เงินที่ถูกฟอกจะถูกกฎหมายแน่นอน นี่คือปัญหาที่จะตามมา

นั่นคือ เสียงสะท้อนที่ดังออกมารอบทิศแสดงให้เห็นถึงผลลบ ได้ไม่คุ้มเสียจากนโยบายเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ที่มีบ่อนการพนันซ่อนอยู่ข้างใน และที่สำคัญเสียงคัดค้านจากสังคมที่มากขึ้น จนทำให้รัฐบาลหวั่นเกรงว่าจะกระทบต่ออนาคตของรัฐบาล ที่เวลานี้กำลังเจอกับปัญหาสารพัดรุมเร้า แต่ขณะเดียวกันหากเดินหน้าต่อมันก็ยิ่งเสี่ยง จนนาทีนี้เริ่มเห็นสัญญาณถอยแบบไม่มีกำหนดออกมาให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆแล้ว !!



กำลังโหลดความคิดเห็น