อาจารย์สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ แห่งทีดีอาร์ไอ ตั้งคำถามถึงร่างกฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) หรือ “ร่างกฎหมายกาสิโน” ไว้น่าสนใจว่ามียกร่างกฎหมายขึ้นมาโดยไม่มีแม้กระทั่งสิ่งที่เรียกว่า “รายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ” (Feasibility Study) เลยทั้งที่โครงการนี้เกี่ยวข้องกับเม็ดเงินมหาศาลและมีความเสี่ยงจะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย
อาจารย์สมเกียรติกล่าวว่า ยังไม่เห็นผลการศึกษาและการวิเคราะห์ตลาดธุรกิจกาสิโนในภูมิภาคในเชิงลึกเลย ไม่ว่าจะเป็นในมาเก๊า สิงคโปร์ มาเลเซีย และประเทศเพื่อนบ้าน
ไม่มีข้อสรุปว่าประเทศไทยจะทำกาสิโนในลักษณะไหน เช่นจะทำกาสิโนระดับสูงเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวรายได้สูงจากต่างประเทศหรือกาสิโนระดับมวลชนเพื่อลดการพนันผิดกฎหมายในประเทศ และจะมีผู้ประกอบการกาสิโนกี่รายในประเทศไทยจะสร้างรายได้ให้รัฐต่อปีเท่าใดและมาจากแหล่งใด
ที่น่าตกใจมากก็คือแม้ไม่มีการศึกษาว่าตลาดกาสิโนของไทยจะมีขนาดใหญ่เพียงใด และควรมีผู้ประกอบการกาสิโนกี่รายที่ได้รับใบอนุญาตให้แข่งขันกันร่างกฎหมายกาสิโนของรัฐบาลกลับสามารถกำหนดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตได้โดยกำหนดในอัตราคงที่ไม่เกิน 5 พันล้านบาทสำหรับอายุใบอนุญาต 30 ปีบวกกับค่าธรรมเนียมรายปีอีกปีละไม่เกิน 1 พันล้านบาท
ดูเผินๆ ราคาใบอนุญาตที่กำหนดไว้อาจจะมากเมื่อถ้าคิดดีๆ ก็จะพบความจริงที่ตรงกันข้ามเพราะค่าธรรมเนียมใบอนุญาตแต่ละใบต่อปีจะอยู่ประมาณ 1,167 ล้านบาท ซึ่งน่าจะต่ำมากเมื่อเทียบกับโอกาสในการแสวงหากำไรมหาศาลของผู้ได้ใบอนุญาต
นอกจากนี้ในร่างกฎหมายของรัฐบาลไม่มีข้อกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้เข้ารัฐหรือที่เรียกว่า “ภาษีกาสิโน” เหมือนในต่างประเทศเช่นสิงคโปร์ (แบ่งรายได้ 11-22% จากรายได้นักพนันทั่วไปและ 8-12% จากรายได้นักพนัน VIP ทำให้รัฐบาลได้รายได้ปีละเกือบ 3 หมื่นล้านบาท) ญี่ปุ่น (30% จากรายได้พนัน) หรือมาเก๊า (40% จากรายได้พนันทำให้รัฐบาลได้รายได้ปีละหลายแสนล้านบาท) ทั้งหมดนี้หมายความว่าหากผู้ประกอบการกาสิโนได้รายได้มากก็จะได้รายได้ไปเกือบหมดโดยแทบไม่ต้องแบ่งให้รัฐบาลเลย
ทั้งหมดนี้แปลว่าหากไทยจะยอมให้มีกาสิโน 3-5 แห่งรายได้จากกาสิโนที่จะเข้ารัฐก็จะอยู่ในระดับไม่เกินปีละ 3.3-5.5 พันล้านบาทเท่านั้น
ที่สำคัญร่างกฎหมายกาสิโนของรัฐบาลกำหนดให้จัดสรรใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการโดยใช้วิธี “ประกวดนางงาม” (Beauty Contest) ซึ่งหมายถึงคัดเลือกโดยให้คะแนนหลายๆด้านตามหลักเกณฑ์ที่ฝ่ายการเมืองจะกำหนดขึ้นเหมือนการตัดสินประกวดนางงามแทนที่จะแข่งขันกันด้วยการประมูลซึ่งมีความโปร่งใสมากกว่าเพราะผู้ที่จะได้ใบอนุญาตจะต้องเสนอผลตอบแทนสูงที่สุดให้รัฐ ในทางตรงกันข้ามการใช้วิธี “ประกวดนางงาม” จะเสี่ยงต่อการที่ฝ่ายการเมืองสามารถใช้ดุลพินิจในการออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบการบางรายและเกิด “เงินทอน” ซึ่งทำให้ประเทศเสียประโยชน์มหาศาล
นอกจากนี้ร่างกฎหมายยังไม่มีมาตรการป้องกันการฟอกเงินซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของกาสิโนและแหล่งพนันทั่วโลกมาโดยตลอด แม้กระทั่งมาเก๊าซึ่งก่อปัญหาจนทำให้รัฐบาลจีนในปัจจุบันพยายามเข้าไปควบคุมการฟอกเงินและการใช้เป็นช่องทางขนเงินออกจากประเทศมาตรการเดียวที่มีในร่างกฎหมายก็คือให้เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เป็นผู้แทนในคณะกรรมการนโยบายและคณะกรรมการบริหารเท่านั้น
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นความเห็นที่น่าสนใจของอาจารย์สมเกียรติซึ่งผมสรุปมา
แน่นอนว่ากาสิโนเป็นการพนันที่ขัดต่อหลักศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของเรา แต่การจะยกข้ออ้างทางศาสนามาเพื่อคัดค้านอาจจะเป็นเรื่องที่อีหลักอีเหลื่อ เพราะต้องยอมรับว่า มีการเล่นการพนันอย่างแพร่หลายในประเทศทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย แต่จะทำอย่างไรไม่ให้ประชาชนหมกหมุ่นอยู่กับการพนันจนไม่ทำมาหากินอื่นการห้ามบ่อนเบี้ยหรือการพนันในสมัยรัชกาลที่ ๕ แสดงให้เห็นว่ารัฐเคยมองว่าการพนันเป็นภัยต่อสังคมหากคนไทยเข้าถึงกาสิโนได้ง่ายอาจเกิดปัญหาหนี้สินและการแตกแยกในครอบครัวซึ่งขัดแย้งกับค่านิยมดั้งเดิมที่เน้นความสามัคคี
ถามว่า สิ่งที่ทักษิณและรัฐบาลคิดจากการเปิดบ่อนกาสิโนคืออะไร คำตอบก็คือ รายได้จากการเปิดบ่อนนั่นเอง แต่ถามว่า รายได้ที่จะได้มากจะคุ้มค่ากับผลเสียที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ และประเทศจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง เพราะจากร่างกฎหมายกาสิโนของรัฐบาลยังไม่ระบุชัดเจนว่ารายได้จากกาสิโนจะถูกจัดสรรอย่างไร เช่น ลงทุนในท้องถิ่นที่ตั้งกาสิโนหรือกระจายไปทั่วประเทศ ซึ่งอาจทำให้เกิดข้อครหาว่าเงินไม่ถึงประชาชน แต่ประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกกับนายทุนมหาศาล เช่นที่อาจารย์สมเกียรติชี้ว่า รัฐจะมีรายได้เพียงปีละ 1,167 ล้านบาท
ไปดูตัวอย่างในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา (ลาสเวกัส) และมาเก๊ารายได้จากกาสิโนมักกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มทุนใหญ่และเจ้าของธุรกิจมากกว่าที่จะกระจายสู่ชุมชนท้องถิ่นตัวอย่างเช่นในมาเก๊ารายได้จากการพนันถึง 80% ของ GDP แต่คนงานระดับล่างในอุตสาหกรรมนี้ยังมีรายได้ต่ำและชุมชนนอกเขตเมืองไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร
รัฐต้องลงทุนสูงในการตั้งหน่วยงานกำกับดูแล (เช่นCasino Regulatory Authority ในสิงคโปร์) และจัดการปัญหาที่ตามมา เช่น การฟอกเงิน
ฟิลิปปินส์กับกรณี POGO (Philippine Offshore Gaming Operators) พบว่ากาสิโนออนไลน์เชื่อมโยงกับอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การค้ามนุษย์และยาเสพติดโดยในปี 2022 รัฐบาลสั่งปิด POGO หลายแห่งหลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งอาชญากรรมจีน ในมาเก๊าถูกระบุว่าเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินระดับโลกโดย U.S. Treasury Department ชี้ว่ากาสิโนถูกใช้ในการเคลื่อนย้ายเงินจากกิจกรรมผิดกฎหมาย
ในเกาหลีใต้หลังเปิดกาสิโน (เช่น Kangwon Land) อัตราการติดพนันเพิ่มขึ้นจาก 0.8% ในปี 2006 เป็น 1.6% ในปี 2016ส่งผลให้มีผู้ขอรับการบำบัดเพิ่มขึ้น 2 เท่า ในเวียดนามพบว่าการเปิดกาสิโนในเขต Phu Quoc ทำให้ชุมชนท้องถิ่นรู้สึกถูกละเลยและวัฒนธรรมประมงดั้งเดิมถูกแทนที่ด้วยธุรกิจท่องเที่ยวในสิงคโปร์พบว่า 2.3% ของประชากรมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดพนันหลังเปิด Marina Bay Sands และ Resorts World Sentosa ซึ่งนำไปสู่ปัญหาครอบครัวและการล้มละลายส่วนบุคคล
แม้จะมีมาตรการควบคุม เช่น ค่าธรรมเนียมเข้า 150 ดอลลาร์สิงคโปร์สำหรับคนในประเทศแต่พบว่าประชาชนบางส่วนยังติดพนันส่งผลให้หนี้ครัวเรือนจากพนันเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีรายได้น้อย ซึ่งมักไม่มีวินัยทางการเงินเพียงพอ ในฟิลิปปินส์พบว่าการเติบโตของกาสิโนออนไลน์ (POGO) นำไปสู่หนี้สินจากการพนันที่สูงขึ้นในชุมชนใกล้เคียง
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศที่มีกาสิโน ถามว่า มันคุ้มค่าหรือไม่กับสิ่งที่เราจะได้จากการเปิดบ่อนกับผลกระทบที่จะตามมามากมาย แต่ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ตกอยู่กับกลุ่มทุน
ทุกวันนี้แม้เมืองไทยของเราไม่มีบ่อนกาสิโนก็กลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวระดับโลกอยู่แล้ว มีจุดขายทางธรรมชาติของประเทศไทยมากมายที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทย ต่างกับหลายประเทศที่เขาไม่มีจุดขายจึงต้องใช้การพนันเป็นเครื่องมือ
เมื่อมองถึงผลกระทบที่จะตามมาจากตัวอย่างในประเทศต่างๆรายได้ที่เราจะได้รับกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต้องชั่งน้ำหนักดูว่ามันคุ้มค่ากันหรือไม่และแท้จริงแล้วกาสิโนสร้างหรือทำลายประเทศ
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan