เมืองไทย 360 องศา
เรียกว่ามาเป็นระลอก ต่อเนื่องกันแบบไม่พัก ทั้งเรื่องการทดสอบภาวะผู้นำ สติปัญญา ความพร้อมสำหรับการเป็นผู้นำประเทศของนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ขณะเดียวกันเธอก็ “พลาด” แบบต่อเนื่อง จนอาจส่งผลกระทบกับการดำรงตำแหน่ง รวมไปถึงเสถียรภาพของรัฐบาลในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย
การขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยของ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถูกมองมาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเป็นเพราะ “ลูกเถ้าแก่” เท่านั้น ไม่ใช่มาเพราะความสามารถ หรือประสบการณ์มีความสำเร็จอะไรมาก่อน หลายคนมั่นใจอย่างนั้น เพราะเธอไม่ได้ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์เลยแม้แต่น้อย ไม่เคยแข่งขัน หรือไต่เต้าขึ้นมาก่อนมาถึงตำแหน่งสูงสุดดังกล่าว
ขณะเดียวกัน เมื่อขึ้นมาแล้วก็ต้องถูกจับตามองทุกฝีก้าว และเข้มข้นกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งต้องเจอกับบททดสอบที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในเรื่อง “ภาวะผู้นำ”และวุฒิภาวะมาพร้อมๆ กัน ซึ่งที่ผ่านมาหลายเรื่อง บางเหตุการณ์ถูกมองว่า “เธอยังไม่ผ่าน” หรือถูกตั้งคำถามว่า ยังมีปัญหา
เริ่มตั้งแต่เรื่องการรับมือกับสถานการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมทางภาคเหนือ เมื่อตอนที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ ที่ตอนนั้นยังไม่มีการแถลงนโยบายรัฐบาล หรือยังแถลงไม่เสร็จสิ้น แต่ถูกถามเรื่องการแก้ปัญหาเยียวยาช่วยเหลือพี่น้องที่กำลังได้รับความเดือดร้อน โดยเธอบอกว่า “ตอนนี้ยังไม่สามารถสั่งการได้ ให้รอไปก่อน แต่ได้เตรียมความพร้อมเอาไว้แล้ว” อะไรประมาณนี้ ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่ควรออกมาจากปากแบบนั้น เพราะทำให้เกิดภาพในทางลบทันที อีกทั้งเหมือนกับว่าเธอไม่เข้าใจเรื่องอำนาจหน้าที่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เร่งด่วน
การหลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถามทางการเศรษฐกิจ เช่น ถูกถามความเห็นเรื่องธนาคารกลางของสหรัฐ หรือ “เฟด” ลดดอกเบี้ย ว่าจะมีผลกระทบกับไทยอย่างไรบ้าง โดยน.ส.แพทองธาร ไม่ตอบคำถาม โดยโบ้ยให้ไปถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แม้ว่าไม่ใช่เรื่องผิด อาจไม่ถนัดในเรื่องดังกล่าว แต่การเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องทำการบ้าน รับรู้ข้อมูล ต้องมีวิธีการรับมือ
ล่าสุดเจอเข้าไปอีก “ดอกใหญ่” นั่นคือ การตอบคำถามกรณี “ค่าเงินบาทแข็ง” ที่คราวนี้เธอพยายามตอบคำถาม แต่กลายเป็นว่า“เธอไม่รู้” ตอบผิดตอบถูก กลายเป็นตรงกันข้ามเฉยเลย เช่น ตอบคำถามเมื่อเช้าอีกแบบ แต่เมื่อตอบผิดไปตั้งหลักใหม่ กลับมาตอบอีกครั้งในช่วงบ่าย แต่ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น กลายเป็นยิ่งทำให้มองเห็นว่าเธอไม่มีพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์เลย
โดยเมื่อวันที่ 24 กันยายน ในช่วงสาย ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ถึงการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจนส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจในปัจจุบัน ว่า เรื่องของเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้น ในข้อเท็จจริงแล้วทำให้เกิดความกังวลในทุกภาคส่วน ซึ่งในส่วนของรัฐบาลเองเราสามารถทำได้ในหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการส่งออก ก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะใช้ข้อดีของค่าเงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้ให้ได้ แต่อีกด้านก็ต้องพูดคุยกัน
ถามว่า จะใช้โอกาสนี้พูดคุยกับทางผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เดี๋ยวคงเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง ขอให้ทางกระทรวงการคลังไปคุยกันดีกว่า ว่าจะแก้ตรงนี้อย่างไรได้บ้าง และร่วมมือกันอย่างไรได้บ้าง
จากนั้นเวลา13.05 น. น.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์ประเด็นเรื่องเงินบาทแข็งอีกครั้งว่า เมื่อสักครู่ได้ฟังสิ่งที่ให้สัมภาษณ์ไปรู้สึกสับสน เรื่องของเงินบาท พอเงินบาทแข็งการส่งออกจะเป็นปัญหา ทุกคนมีความกังวลใจ แต่ที่ตนพูดไปคือ ต้องการให้ใช้ข้อดีเกี่ยวกับเงินบาทแข็งในการนำเข้า โครงการไหนที่จะนำเข้าต้องล็อกตรงนี้ไว้ เพื่อเป็นโอกาสในช่วงที่เงินบาทแข็ง ซึ่งก็ต้องแก้ปัญหากันต่อไป กระทรวงการคลังก็ต้องพูดคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทย
เมื่อถามว่า ผู้ว่าฯธปท. ส่งสัญญาณจะไม่ลดดอกเบี้ย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนถึงบอกว่าต้องพูดคุยกัน ความจริงได้คุยกับ รมว.คลังไปแล้ว ว่าต้องร่วมมือกันหาทางออก เมื่อถามว่า นายกฯจะเป็นคนคุยกับ ผู้ว่าฯธปท.เองเลยหรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คงให้กระทรวงการคลังคุยน่าจะตรง และได้รายละเอียดมากกว่า
เมื่อถามว่า สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เคยให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง เป็นผู้พูดคุย รัฐบาลนี้จะให้นายพิชัย ไปคุยแล้วใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ตนมอบกระทรวงการคลังไป แต่ไม่ทราบจะเป็นรมช.ก็ได้ เพราะมีเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องให้ไปคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน จะได้ช่วยกันได้ เมื่อถามว่าคงไม่ต้องรอให้ถึงรอบการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 16 ต.ค. น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คงต้องคุยกันก่อน เมื่อถามอีกว่า ตั้งแต่ยุคนายเศรษฐา ผู้ว่าฯธปท. มีความเห็นสวนทางกับรัฐบาล น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า “คงต้องคุยกัน เพราะหากหาแนวทางร่วมกันไม่ได้ ความลำบากจะตกที่ประชาชน จึงต้องช่วยกัน เพราะเข้าใจกันอยู่แล้วว่า ถ้าเงินบาทแข็งกระทบอะไรบ้าง ซึ่งเมื่อกระทรวงการคลังไปพูดคุย แล้วได้รายละเอียดที่สุดก็จะให้มาแถลงว่าจะทำอะไรได้บ้าง”
เอาเป็นว่าแต่ละเรื่องประดังเข้ามา ล้วนทำลายภาพลักษณ์ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเรื่อง “ภาวะผู้นำ และวุฒิภาวะ” ขณะเดียวกันเธอก็ “พลาด” แบบที่บางครั้งก็ไม่น่าให้อภัยเหมือนกัน จะเป็นตัวเองไม่ทำการบ้าน ไม่ได้ศึกษาข้อมูลมาก่อน หรือเป็นเพราะมี “ที่ปรึกษา” ที่ใช้การไม่ได้ หรือไม่กล้าให้คำแนะนำ เนื่องจากเป็น “ลูกเถ้าแก่” หรือเปล่า
สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ถือว่าไม่เป็นผลดี เพราะจะกลายเป็น “ภาพจำ” ตั้งแต่เริ่มแรก หากเริ่มต้นแบบไม่สร้างภาพลักษณ์ในทางบวก ในระยะยาวก็จะกลายเป็นเรื่องยาก ที่จะสร้างความเชื่อมั่น เพราะจะถูกมองว่าไม่มีความพร้อมสำหรับการเป็นผู้นำ กลายเป็นภาพของ “คุณหนู” ที่ต้องคอยประคบประหงม อยู่ตลอดเวลา
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็ยังมีเสียงสะท้อนออกมาผ่านทางผลสำรวจที่ระบุว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ “ไม่เชื่อมั่น” ทั้งตัวนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ถือว่าเป็นข่าวร้ายอีก เพราะนี่เพียงแค่เริ่มต้น รัฐบาลเพิ่งเข้ามาบริหารได้เพียงแค่ไม่ถึงเดือน แทนที่จะมีความหวัง ทำให้เห็นว่าหนทางข้างหน้า “หนักเอาการ” ทีเดียว !!