เมืองไทย 360 องศา
แน่นอนว่าเวลานี้ทุกสายตากำลังสนใจเรื่องคดียุบพรรคก้าวไกล ซึ่งไม่ว่าจะออกทางไหนก็ย่อมมีเสียงวิจารณ์ตามมามากมาย ทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้าน แล้วในที่สุดผลก็ออกมาในมุมลบ คือยุบพรรคก้าวไกล ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค 10 ปี หลังจากนี้ คาดว่าจะตามมาด้วยการ ย้ายพรรค หรือการสังกัดพรรคใหม่ โดยอาจย้ายไปสังกัดพรรคที่มีอยู่แล้ว หรือมีการตั้งพรรคใหม่เพื่อรองรับส.ส.ที่เหลืออยู่
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันแบบไม่ต้องมีข้อมูล และความเป็นไปได้ ที่บอกว่ามีความพยายาม “ล่อซื้องูเห่า” เข้าพรรค โดยให้ราคาถึงหัวละ 30 ล้านบาท หลายคนได้ยินแล้วถึงกับอึ้งว่า ทำไมมันแพงถึงขนาดนั้น และหากมีการซื้อขายกันจริงด้วยราคาขนาดนั้น มันจะคุ้มและเป็นไปได้หรือไม่
ก่อนหน้านี้ นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า เมื่อช่วงวันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ช่วยของรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ที่มีความตั้งใจจะตั้งพรรคการเมืองใหม่ ในเร็วๆวันนี้ ได้ติดต่อมาที่ตน เพื่อยื่นข้อเสนอเงิน 30 ล้านบาท เพื่อให้ตนย้ายไปอยู่พรรคใหม่ ของรัฐมนตรีคนนั้น แต่ตนเองได้ปฏิเสธไปในทันที
ล่าสุด นายจิรัฏฐ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีข้างต้นว่า มีการติดต่อผ่านคนในท้องถิ่นที่รู้จักตน เพื่อดึงมาเป็นสส.ของพรรค โดยบอกว่า เรื่องเงินไว้ค่อยมาคุยกัน 20-30 ล้านบาทไม่มีปัญหา ซึ่งตนได้ปฏิเสธไปแล้ว
เมื่อถามว่า สามารถเปิดเผยได้หรือไม่ว่าเป็นพรรคไหน หรือรัฐมนตรีคนใด นายจิรัฏฐ์ กล่าวว่า “ก็คุณ ธ.ไงครับ”
ต่อมานายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะทีมโฆษกพรรค ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ระบุว่า มีผู้ช่วยของรัฐมนตรีกระทรวงปล่อยน้ำ มาทาบทามเข้าพรรคที่กำลังตั้งขึ้นใหม่ โดยเสนอจะให้เงินทำพื้นที่ 20-30 ล้านบาท ว่า ส่วนตัวไม่ทราบว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นจริงหรือเป็นเพียงการสร้างมูลค่าให้กับตัวเอง ซึ่งการกล่าวพาดพิงว่ารัฐมนตรีกระทรวงปล่อยน้ำ ก็ค่อนข้างระบุชัดเจน เพราะกระทรวงที่ปล่อยน้ำก็มีอยู่ไม่กี่กระทรวง ทั้งนี้หากมีอุบัติเหตุทางการเมือง ศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคก้าวไกลจริง ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ เราไม่เคยปิดกั้นการทำงานร่วมกับ สส.จากพรรคการเมืองอื่นๆ
“การทำพรรคการเมืองนั้น สิ่งสำคัญคือ ต้องมีแนวทางการทำงานเดียวกัน และขอย้ำว่าพรรคพลังประชารัฐ เราไม่มีนโยบายในการใช้เงินในการซื้อตัวสส. หรือช้อนซื้องูเห่า อย่างที่เป็นกระแสข่าวแน่นอน ของเพียงแค่มีใจก็มาร่วมงานกันได้” นายอามินทร์ กล่าว
นายอามินทร์ กล่าวต่อว่า ยังเชื่อว่า ถ้ามีคนติดต่อไปอย่างที่ถูกกล่าวอ้างจริง ก็คงเป็นคนนอก ไม่ใช่คนในสภา เนื่องจากผู้ที่ออกมาเปิดเผย ก็เป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน คุณสมบัติกับตำแหน่งที่ได้รับยังคลุมเครือ ไม่รู้ว่าเรื่องเกณฑ์ทหาร จะไปจบอย่างไร ดังนั้น จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะพรรคพลังประชารัฐ ไม่อยากให้คนที่มีปัญหาเข้ามาทำให้พรรคของเรามีปัญหาอีก
แน่นอนว่าเมื่อมีการกล่าวหา ก็ย่อมมีการปฏิเสธ ส่วนจะจริงหรือไม่จริงนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง และในอักษรย่อ “ธ.” ที่อยู่กระทรวงปล่อยน้ำ เชื่อว่าแทบทุกคนย่อมรู้ดีว่าหมายถึงใคร รวมถึงบอกว่าจะมีการทาบทามให้เข้าสังกัด “พรรคใหม่” ซึ่งก็คือพรรคที่ตั้งใหม่ ชื่อ “พรรคกล้าธรรม” และก็บังเอิญว่า เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมา ก็ปรากฏมีพรรคใหม่ และมีคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ มี นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรค โดยมีหลายคนพยายามโยงกันว่า เธอมีความสนิทสนมกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งพรรคดังกล่าวก็มีการเปลี่ยนหัวจากเดิมในชื่อพรรคเศรษฐกิจใหม่ ที่มี ร.อ.ธรรมนัส เป็นหัวหน้าพรรค นั่นเอง แต่ที่ผ่านมาก็ยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่ยอมรับว่า สนิทสนมเป็นเพื่อนกันกับนางนฤมล
อย่างไรก็ดี ก็ต้องย้อนกลับมาพิจารณากันถึงความเป็นไปได้ในการ “ช้อนซื้องูเห่า” หลังมีการยุบพรรคก้าวไกลแล้วนั้น ไม่ว่ามองมุมไหนก็ต้องบอกว่า “ไม่น่าเป็นไปได้” หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะไม่มีความจำเป็น และไม่มีผลในทางการเมืองเลยแม้แต่น้อย
ก่อนอื่นก็ต้องย้อนกลับไปพิจารณากันถึงตัวเลขของเสียงฝ่ายรัฐบาลเสียก่อนว่า เวลานี้มีเสียงจำนวน 310-314 เสียง เรียกว่า มีเสียงข้างมากเด็ดขาดอยู่แล้ว ไม่ใช่มีลักษณะ“ปริ่มน้ำ” เหมือนกับช่วงแรกๆ ของรัฐบาล “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อหลายปีก่อน
หรือหากมองว่า อาจมีอุบัติเหตุทางการเมือง จากการวินิจฉัยกรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน ต้องพ้นจากนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 14 สิงหาคม เกิดขึ้นจริง และบางคนก็มองว่า “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่กำลังสะสมกำลังอยากเป็นนายกฯ สักครั้ง ซึ่งแน่นอนว่า “ความอยาก” นั้นทุกคนย่อมมีได้ แต่ความเป็นไปได้ มันแทบไม่มี เพราะพรรคเพื่อไทย ไม่มีวันยอมปล่อยมือเป็นอันขาด เนื่องจากยังมีแคนดิเดตนายกฯคนอื่นสำรองไว้อยู่แล้ว ก็คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ หากไม่ได้จริงๆ ก็อาจปล่อยมือมาให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่มีเสียงเป็นอันดับสอง ในรัฐบาล จะดีกว่าหรือไม่
ถึงได้บอกว่า การ “ซื้องูเห่า” ในทางการเมืองแล้ว มันไม่มีความจำเป็นและไม่มีประโยชน์ เพราะถึงซื้อให้ตายมันก็ได้มาไม่กี่เสียง มันไม่มีความหมายสำหรับ “คิดการใหญ่” เพราะอย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่า รัฐบาลมีเสียงรวมกันเกินสามร้อยเสียง และเชื่อว่าไม่มีใครอยากแตกแถวออกไปเป็นฝ่ายค้าน แม้แต่คนในพรรคพลังประชารัฐเอง ก็ยังสนุกสนานอยู่กับตำแหน่งรัฐมนตรี ความเป็นไปได้ทางเดียวก็คือ อีกไม่นาน “ลุงป้อม” ก็จะมีลักษณะ “หัวเดียวกระเทียมลีบ” มีโอกาสที่จะถูกริบโควตารัฐมนตรี ที่น้องชายของตัวเองนั่งอยู่ คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นไปได้สูง
ดังนั้นระหว่างรอเรื่องสำคัญที่กำลังเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม ก็ต้องฟันธงไว้ตรงนี้ได้เลยว่า การซื้อ “งูเห่า” เข้าพรรคนั้น ไม่มีความจำเป็น และเป็นไปไม่ได้ เพราะเสียงของรัฐบาลมีมากเกินพอ และเชื่อว่ายังไม่มีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนอยากแตกแถวออกไปในตอนนี้ แต่เมื่อมีการยุบพรรคก้าวไกลแล้ว ก็อาจมี งูเห่าเลื้อยไปบางพรรคมันก็อาจมีบ้าง และมีสิ่งแลกเปลี่ยนบ้างเล็กๆน้อยๆ ก็อาจมี แต่ก็คงเป็นไปได้ยากเต็มที และคนปูดข่าวนี้ขึ้นมามันก็เหมือนสร้างราคาให้ตัวเอง ไม่สมเหตุสมผล!!