สังคมไทยกำลังจับตา 2 คดีสำคัญในศาลรัฐธรรมนูญ คดีแรกคือคดียุบพรรคก้าวไกล ที่จะตัดสินในวันที่ 7 สิงหาคม คดีที่ 2 คือคดีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่จะตัดสินในวันที่ 14 สิงหาฯ ตอนนี้เจอใครก็ถามว่า 2 คดีนี้จะจบลงอย่างไร
ถ้าถามผม ผมคิดว่าโอกาสรอดของพรรคก้าวไกลนั้นมีน้อยมาก เมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเคยชี้ไว้แล้วว่า การกระทำของพรรคก้าวไกลนั้นต้องการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อพฤติกรรมเช่นนี้ถูกชี้ไว้แล้วโดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แล้วกลับมาถามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่ามีความผิดถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ ผมก็ไม่คิดนะว่า โดยหลักการของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้วกฎหมายและรัฐธรรมนูญจะสามารถอนุญาตให้พรรคการเมืองกระทำการเช่นนั้นได้
มีคนบอกว่าถ้าหากพรรคก้าวไกลถูกยุบก็จะทำให้พรรคการเมืองใหม่ที่พวกเขาตั้งขึ้นยิ่งเติบโตเหมือนตอนยุบพรรคอนาคตใหม่แล้วมาเป็นพรรคก้าวไกล ปรากฏว่าเมื่อมีการเลือกตั้งพรรคก้าวไกลก็ได้รับการเลือกตั้งมากกว่าเดิมเท่าตัว ดังนั้นเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคใหม่ของพวกเขาอาจจะชนะแบบถล่มทลาย
แต่ผมกลับไม่มองตรงนั้นสำคัญกว่าหลักการและบรรทัดฐานของกฎหมาย ถ้าพรรคก้าวไกลกระทำความผิดตามกฎหมาย และโทษถึงขั้นยุบพรรคก็ต้องยุบ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริง
จริงๆ แล้วพรรคก้าวไกลก็รู้อยู่ว่า ไม่สามารถต่อสู้ในเนื้อหาและข้อเท็จจริงได้ หากฟัง 9 ข้อต่อสู้ที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แถลงออกมา ล้วนแล้วแต่เป็นการต่อสู้ทางเทคนิคทั้งสิ้น เช่นบอกว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจ การยื่นคำร้องของ กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่
รวมถึงคล้ายกับยอมรับสภาพว่าน่าจะถูกยุบพรรค จากที่แถลงออกมาว่า โทษยุบพรรคต้องเป็นมาตรการสุดท้าย ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจตัดสิทธิกรรมการบริหาร จำนวนปีในการตัดสิทธิทางการเมืองต้องได้สัดส่วน การพิจารณาถูกต้องสอดคล้องกับชุดกรรมการบริหารในช่วงที่ถูกกล่าวหา ซึ่งจากข้อนี้สะท้อนว่าพรรคก้าวไกลรับสภาพแล้วว่าโดนแน่ๆ
ส่วนพรรคใหม่ของพวกเขาหากถูกยุบจะชนะการเลือกตั้งมากขึ้นกว่าเดิมอีกในการเลือกตั้งครั้งหน้าไหม ส่วนตัวผมเชื่อว่า พรรคก้าวไกลอาจจะชนะเลือกตั้งเป็นอันดับ 1 อีก แต่ไม่น่าจะชนะจนถล่มทลายสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ เพราะทางเดียวที่พรรคก้าวไกลจะได้อำนาจรัฐก็คือ ต้องชนะด้วยพรรคเดียวเกินกึ่งหนึ่ง และผมเชื่อว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจจะไม่มีสส.บัญชีรายชื่อแล้ว ดังนั้นโอกาสของพรรคก้าวไกลก็ยิ่งจะน้อยลง
ที่สำคัญต้องดูตัวบุคคลว่าถ้าพรรคถูกยุบใครจะเป็นผู้นำพรรคคนใหม่ออกมาต่อสู้ ต้องยอมรับนะครับว่า การนำพรรคของพิธานั้นสามารถสร้างความโดดเด่นให้กับพรรคได้มากกว่าธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เพราะมีคาริสม่าที่มากกว่าธนาธรและต้องยอมรับว่าพิธาเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทในระดับดาราตุ๊กตาทอง เป็นนักสร้างภาพที่หาตัวจับยาก
ส่วนกรณีของเศรษฐานั้น ผมเชื่อว่า โอกาสรอดน่าจะอยู่ที่ 60-40 คือ โอกาสไม่รอด 60 และโอกาสรอด 40 ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือมติ 6-3 เสียงข้างมาก 6 เสียงให้รับคำร้องประกอบด้วยนายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายนภดล เทพพิทักษ์นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ ทั้ง 6 เสียงมีความเชื่อไปแนวทางว่าการกระทำของนายเศรษฐาอาจจะเข้าข่ายความผิดตามที่ถูกร้องและใน 6 คนนั้นมี 4 คนบอกว่าต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วยมี2 คนที่บอกว่าไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
ส่วนที่บอกว่านายเศรษฐาไม่มีความผิดไม่ต้องรับคำร้องมี 3 คนคือนายนครินทร์เมฆไตรรัตน์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ 3 คนนี้แทบจะไม่ต้องลุ้นแล้วเชื่อว่ามติหลังการวินิจฉัยออกมาจะไม่เป็นอย่างอื่นก็คือน่าจะยืนว่านายเศรษฐาไม่มีความผิด
ส่วนมติ 5-4 ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นั้นมี 2 คนจากมติ 6 เสียงที่ให้รับเรื่อง แล้วบอกว่าไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ คือ นายนภดล และนายบรรจงศักดิ์ เมื่อไปรวมกับ 3 เสียงที่ไม่ให้รับเรื่องจึงกลายเป็นมติ 5-4 ดังนั้นต้องจับตาดูว่า นายนภดล และนายบรรจงศักดิ์จะมีมติเช่นไร เพราะที่ทั้งสองบอกให้รับเรื่องแต่ให้ทำงานต่อได้นั้นอาจจะมองว่า การกระทำอาจจะไม่ชัดเจนว่าเข้าข่ายความผิดจึงไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
และสุดท้ายถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า เศรษฐามีความผิดก็แสดงว่า การตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรีนั้นขัดกับมาตรฐานทางจริยธรรมย่อมส่งผลต่อไปว่า นายพิชิตนั้นขาดคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรี แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า เศรษฐาไม่มีความผิดก็ต้องอธิบายด้วยว่า นายพิชิตนั้นยังมีคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ด้วย
ทางที่ไม่น่าจะออกได้ก็คือ ศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า เศรษฐาไม่ผิด แต่กลับชี้ว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรี เพราะมันจะดูขัดแย้งกันเอง
ถามว่าถ้าพรรคก้าวไกลถูกยุบแล้วเศรษฐาถูกชี้มูลว่ามีความผิดต้องพ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรีจะเป็นอย่างไร สมการทางการเมืองจะเปลี่ยนไปไหม
ส่วนตัวผมเชื่อถ้าพรรคก้าวไกลถูกยุบก็ไม่น่าจะมีผลเปลี่ยนแปลงมากนัก นอกจากอาจทำให้พรรคก้าวไกลกลายเป็นพรรคอันดับ 2 ในสภาฯ รองจากพรรคเพื่อไทย เพราะกรรมการบริหารพรรคหลายคนถูกตัดสิทธิ รวมไปถึงชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค และตัวพิธาเอง แต่ผมไม่เชื่อนะว่าสมาชิกพรรคก้าวไกลจะถูกช้อนไปอยู่พรรคการเมืองอื่น เพราะสมาชิกส่วนใหญ่เป็นพวกโนเนมที่ได้รับเลือกตั้งเพราะพรรค ดังนั้น ถ้าจะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองอื่นในสมัยหน้าก็จะสอบตกอย่างแน่นอน นอกจากได้ข้อเสนอที่ทำให้ตาลุกวาว
ส่วนสภาพของรัฐบาลถ้าเศรษฐาพ้นจากตำแหน่ง ผมไม่คิดว่าสมการในพรรคร่วมรัฐบาลจะเปลี่ยนไป และผมไม่คิดว่าทักษิณเจ้าของพรรคเพื่อไทยจะยอมให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลุดมือไปอยู่ในพรรคการเมืองอื่น แม้หลายคนคาดหวังว่า อนุทิน ชาญวีรกูล อาจจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะขณะนี้พรรคภูมิใจไทยสามารถยึดครองพื้นที่วุฒิสภาได้อย่างเด็ดขาด แต่ต้องไม่ลืมนะว่า สว.ชุดนี้ไม่ได้มีอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีเหมือนชุดก่อน ส่วนตัวผมเชื่อว่าจะเป็นแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทยก็คือ อุ๊งอิ๊ง แพทองธารมากกว่า เพราะไม่เชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยจะไปต่อรองกับพรรคเพื่อไทยได้
ส่วนที่ไพศาล พืชมงคล กุนซือคนดังเคยบอกว่าพรรคภูมิใจไทยจะจับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลนั้น ผมไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะ 2 พรรคนี้รวมกันยังไม่ถึงครึ่งแล้วคิดว่าจะมีพรรคไหนเข้าไปร่วมตั้งรัฐบาลที่มีพรรคก้าวไกลเป็นพรรคร่วมรัฐบาล จึงเป็นเรื่องที่ถูกเต้าขึ้นมาโดยกุนซือคนดังมากกว่า
การเมืองไทยในช่วงเดือนสิงหาคมจึงห้ามกะพริบตา เพราะจะชี้ว่า อนาคตการเมืองไทยนั้นจะเดินไปทางไหน และสุดท้ายแล้วจะจบลงอย่างไร
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan