xs
xsm
sm
md
lg

“ลุงป้อม” ตั้งพรรคคู่ขนาน เรื่องจริงหรือมโน? แต่ที่แน่ๆ มีนักตบทรัพย์แชร์ลูกโซ่ ไม่ทราบว่า “สามารถ เจนฯ” รู้เรื่องนี้ หรือไม่ ** “ก้าวไกล” ไม่หยุดป่วน ดึงทูต 18 ประเทศ ร่วมกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ในคดียุบพรรค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ -สามารถ  เจนชัยจิตรวนิช - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ข่าวปนคน คนปนข่าว

++ “ลุงป้อม” ตั้งพรรคคู่ขนาน เรื่องจริงหรือมโน? แต่ที่แน่ๆ มีนักตบทรัพย์แชร์ลูกโซ่ ไม่ทราบว่า “สามารถ เจนฯ” รู้เรื่องนี้ หรือไม่

เมื่อวาน( 5 ส.ค.) มีข่าวแพลมออกมาว่า “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เตรียมตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาอีกพรรคหนึ่ง เป็นพรรคคู่ขนานกับ พปชร. โดยจะใช้ชื่อว่า “พรรคพลังมหาชน”

ผู้ที่ออกมาให้ข่าวที่ว่าก็คือ “บุญรวี ยมจินดา” หัวหน้าพรรครวมใจไทย (ร.จ.ท.) โดยบอกว่า “ลุงป้อม” ได้วางตัว “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าพรรคที่จะตั้งขึ้นมาใหม่
พร้อมกับอ้างเหตุผลของการตั้งพรรคใหม่ของ “ลุงป้อม” ว่า เพื่อเตรียมพร้อมที่จะสู้กับพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ซึ่งเป็นพรรคสำรอง ที่พรรคก้าวไกลไปเทกโอเวอร์มา หากในวันพุธที่ 7 ส.ค. นี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคก้าวไกล

ซ้ำบอกอีกว่า พรรคพลังประชารัฐ เกิดศึกภายในพรรค ระหว่างซีก “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เลขาธิการพรรค กับ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” คนสนิทของ “ลุงป้อม” จึงเป็นที่มาของการตั้งพรรคเพื่อรองรับคนรุ่นใหม่ที่ “สามารถ” จะประสานเข้ามาร่วมพรรค ส่วน “ลุงป้อม” ก็จะอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐต่อไป

ที่ว่ามานี้ จริงเท็จอย่างไร ยังไม่มีใครยืนยัน หรือจะเป็นแค่ข่าวปล่อยเพื่อสร้างเครดิตให้ใครบางคนเท่านั้ัน

เพราะหากจะว่าไป สถานการณ์เวลานี้ มีความจำเป็นอะไรที่ “ลุงป้อม” จะต้องตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาอีกพรรคให้ปวดสมอง
ยิ่งไปโยงว่า จะเอาไว้สู้กับพรรคถิ่นกาขาวฯ ที่พรรคก้าวไกลจะเข้าไปเทกโอเวอร์ หากพรรคก้าวไกลโดนยุบ ก็ยิ่งดูเลื่อนลอยไปไกล

อีกเรื่องหนึ่ง สำหรับตัว “สามารถ” คนที่ถูกชูว่าจะเป็นหัวหน้าของพรรคที่ว่านี้ ก็เพิ่งสร้างเรื่องดรามาในพรรค พปชร.เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เมื่อ สส.ในพรรคไม่พอใจที่พยายามทำตัวเป็นคนกำหนดทิศทางพรรค ชอบอวดอ้างว่าเป็นคนใกล้ชิด “ลุงป้อม” แถมด่ารัฐบาลสาดเสียเทเสียเป็นรายวัน ทั้งที่ตัวเองก็อยู่ในสังกัดพรรคร่วมรัฐบาล จนมีความเคลื่อนไหวเตรียมขับออกจากพรรค
เรื่องเพิ่งจะคลี่คลาย เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา เมื่อ “พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย” โฆษกพรรค ออกมาแถลงว่า “ลุงป้อม” มอบหมายให้ “สันติ พร้อมพัฒน์” รองหัวหน้าพรรค เรียก “สามารถ” เข้าไปพูดคุย ปรับทัศนคติกันเป็นที่เรียบร้อย โดยเจ้าตัวยอมขอโทษ และยุติการกระทำที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในการร่วมรัฐบาล

จะว่าไปนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ “สามารถ” สร้างปัญหาขึ้นในพรรคพปชร. ย้อนไปเมื่อครั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สมศักดิ์ เทพสุทิน “สามารถ” ก็เคยถูกมหาวิทยาลัยรามคำแหง ตรวจสอบกรณีส่งลูกน้องของตัวเองไปเข้าเรียน และสอบหลักสูตรภาษาอังกฤษ จนมหาวิทยาลัยรามคำแหงตัดสิทธิ์ในการเรียนวิชาดังกล่าวมาแล้ว

ในครั้งนั้น พรรคพปชร.ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน โดยมี “ไพบูลย์ นิติตะวัน” รองหัวหน้าพรรคเป็นประธานคณะทำงาน และมีมติ เมื่อวันที่ 2 พ.ค.64 เป็นเอกฉันท์ว่า มีความผิดจริง จึงให้ปลด “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” ออกจากผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ และตำแหน่งอื่นๆ ของพรรคทั้งหมด เช่น ผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ พปชร., วิปรัฐบาล, คณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดการฉ้อโกงประชาชนในลักษณะแชร์ลูกโซ่ รวมทั้งห้ามไม่ให้ใช้ตราเครื่องหมายของพรรคพลังประชารัฐ เว้นแต่ว่าจะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร

หลังจากนั้น “สามารถ” ก็หายหน้าไปจากวงการเมืองระยะหนึ่ง จนกระทั่งกลับมาในฐานะคนข้างกายของ “ลุงป้อม” และได้ตำแหน่งเป็นที่ปรึกษากรรมาธิการ การแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร

หลายคนอาจะสงสัยว่า “สามารถ” เป็นใคร มาจากไหน จึงพลิกสถานะของตัวเองในพรรค พปชร. ที่เคยเกือบหลับไปตั้งแต่ 3 ปีก่อน แล้วก็กลับมาได้ ถึงขั้นกล้าลุกขึ้นมาท้าทายคนทั้งพรรค

“สามารถ” ปัจจุบันอายุ 40 ต้นๆ สร้างโปรไฟล์ตัวเอง ด้วยการเป็นประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย มาตั้งแต่ปี 2557 ทำหน้าที่ประสานงานช่วยเหลือเหยื่อแชร์ลูกโซ่ที่กำลังระบาดอย่างหนักในช่วงนั้น ทำให้ชื่อ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” ปรากฏออกสื่อบ่อยๆ กลายเป็นเครดิตส่วนตัว เอาไปต่อรองเพื่อเข้าพรรคการเมือง จนได้แจ้งกับเกิดกับพรรคพลังประชารัฐ โดยสังกัดอยู่ใน “กลุ่มสามมิตร” ได้เป็นกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรค ในการเลือกตั้งปี 2562

จะบอกว่า “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” ได้เข้าสู่เวทีการเมือง เพราะ “แชร์ลูกโซ่” ก็คงไม่ผิด

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ในฐานะที่ “สามารถ” เคยเปิดศึกกับแชร์ลูกโซ่มาหลายปี คงเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องแชร์ลูกโซ่เป็นอย่างดี น่าจะทำเรื่องบางเรื่องให้กระจ่างเสียหน่อย ก่อนที่จะไปเป็นหัวหน้าพรรคคู่ขนาน พปชร. ตามที่กล่าวอ้าง

เนื่องจาก มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า คนบางคนที่มีเบื้องหน้าเป็นตัวตั้งตัวตี ช่วยเหยื่อแชร์ลูกโซ่นั้น เบื้องหลังกลับมีพฤติกรรมหาประโยชน์จากพวกแชร์ลูกโซ่เสียเอง

ว่ากันว่า หลายบริษัทต้องจ่ายเงินขั้นต่ำ บริษัทละ 30,000 บาท เพื่อแลกกับการยุติการร้องเรียน หรือไม่ดำเนินคดี

มีตัวอย่าง อดีตดาราดังคนหนึ่งที่เคยเปิดบริษัทขายตรงก็โดนมาแล้ว

ส่วน 3 คดีใหญ่ แชร์ลูกโซ่ “เมจิกสกิน” ก็โดนตบทรัพย์ไป 20 ล้านบาท เหนาะๆ เพื่อแลกกับการไม่เอาข้อมูลไปเผยแพร่

ไม่ทราบว่า “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” คนที่รู้ไส้รู้พุงวงการแชร์ลูกโซ่เป็นอย่างดี จะรู้เรื่องนี้หรือเปล่าหนอ

++ “ก้าวไกล” ไม่หยุดป่วน ดึงทูต 18 ประเทศ ร่วมกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ในคดียุบพรรค

พรุ่งนี้ 7 สิงหาคม เป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดชี้ชะตา ยุบหรือไม่ยุบพรรคก้าวไกล จากคดี “ล้มล้างการปกครอง”

ที่ผ่านมาบรรดาแกนนำพรรคก้าวไกลได้พยายามเคลื่อนไหว จัดอีเวนต์ เพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญ นอกจากการอ้างถึงข้อกฎหมาย ว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยุบพรรค... กกต. ไม่มีอำนาจในการชงเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณายุบพรรคแล้ว ยังมีการดึงเอาต่างชาติเข้ามาร่วมกดดันด้วย

โดยเมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมา “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ประธานที่ปรึกษาพรรคก้าวไกล ได้ไปพบเอกอัครราชทูตและอุปทูตจาก 18 ประเทศ ที่ทำเนียบเอกอัครราชทูตเยอรมนี เพื่อหารือเกี่ยวกับวิกฤตประชาธิปไตยในประเทศไทย จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญ รับวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล

18 ประเทศที่ว่า ได้แก่ ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, เช็กเกีย, เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮังการี, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์,โปแลนด์, โปรตุเกส,โรมาเนีย, สโลวาเกีย, สเปน และสวีเดน

แน่นอนว่าประเด็นนี้ย่อมถูกวิพากวิจารณ์ว่า มีความหมิ่นเหม่ เสมือนเป็นความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย ทั้งๆ ที่รู้ว่า การพิจารณาคดีดังกล่าว ตั้งอยู่บนข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง และพฤติกรรมอันเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญ โดยพรรคก้าวไกล ก็ได้ต่อสู้คดีความตามวิถีของตนเองแล้ว และไม่มีกลไกใดเข้าขัดขวางการต่อสู้ดังกล่าว

ขณะที่การแสดงออกของกลุ่มทูต ไม่ว่าจะเป็นท่าทีให้การสนับสนุน เห็นอกเห็นใจ ถึงขั้นประกาศไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคก้าวไกลนั้น ถือเป็นเรื่องผิดมารยาทในทางการทูตอย่างมาก ที่สำคัญคือ เป็นการไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย

ความจริงแล้ว ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในภาวะวิกฤติประชาธิปไตยจนทำให้มีการยุบพรรคการเมือง แต่การยุบพรรคนั้นเกิดจากการกระทำของพรรคการเมืองเอง ที่พยายามฝ่าฝืนกฎหมาย ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ เพื่อความได้เปรียบคู่แข่งทางการเมือง

อย่างเช่น กรณีเมื่อวันที่ 30 พ.ค.50 พรรคไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และ พรรคแผ่นดินไทย ถูกกล่าวหาว่า จ้างพรรคเล็กลงเลือกตั้ง

กรณี วันที่ 2 ธ.ค. 51 พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย ถูกกล่าวหาว่า กรรมการบริหารพรรคทุจริตการเลือกตั้ง

กรณีวันที่ 7 มี.ค. 62 พรรคไทยรักษาชาติ ถูกกล่าวหาว่า เสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 63 พรรคอนาคตใหม่ ถูกกล่าวหากรณี เงินกู้ 191.2 ล้านบาท

ข้อเท็จจริงที่นำไปสู่การยุบพรรค ล้วนเป็นเจตนาในการกระทำผิดของพรรคการเมือง ซึ่งไม่ได้เกิดจากวิกฤติประชาธิปไตยในประเทศไทยตามที่พยายามกล่าวอ้าง

กรณีของพรรคก้าวไกลก็เช่นกัน เป็นเจตนาที่จะแก้ไข มาตรา 112 เจตนานำไปเป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.เห็นว่า... มีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลาย สถาบันกษัตริย์ เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทราม หรืออ่อนแอลง นำไปสู่ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด... จึงยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค

เพราะถ้า กกต. ไม่ดำเนินการ ก็จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ถ้าพรรคก้าวไกล ใช้ความระมัดระวัง ความรอบคอบในการดำเนินนโยบาย ในการหาเสียงเลือกตั้ง เหตุการณ์นี้คงไม่เกิดขึ้น
แต่ที่เกิดขึ้นเพราะ เจตนา จงใจ ที่จะให้เกิด แล้วไปดึงต่างชาติมาร่วมกดดัน โดยอ้างถึง “วิกฤติประชาธิปไตยไทย” จึงไม่ต่างจากการ “ชักศึกเข้าบ้าน”

วันที่ 7 ส.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ จะตัดสินออกมาอย่างไร และในรายละเอียดของคำวินิจฉัยนั้น ได้บ่งบอกถึงอะไรบ้าง ต้องติดตาม


กำลังโหลดความคิดเห็น