xs
xsm
sm
md
lg

สิงหาฯ“สองเรื่องใหญ่” พลิกเกมการเมือง !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เศรษฐา ทวีสิน - พิธา  ลิ้มเจริญรัตน์
เมืองไทย 360 องศา

แม้ว่าจะไม่ใช่วันเดียวกัน แต่เป็นเดือนเดียวกัน นั่นคือเดือนสิงหาคม ที่กลายเป็นเรื่องที่คอการเมืองและคนทั่วไปกำลังติตามลุ้นกันด้วยใจระทึกอย่างยิ่ง เรื่องแรกเป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะยุบหรือไม่ยุบพรรคก้าวไกล โดยกำหนดวันที่ 7 สิงหาคม เป็นวันชี้ชะตา ส่วนอีกเรื่องก็คือกรณีที่ 40 ส.ว.ยื่นคำร้องถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน กรณีแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติ โดยศาลนัดตัดสินในวันที่ 14 สิงหาคม

เรียกว่าเป็นเดือน และสัปดาห์แห่งความระทึกใจ เพราะมันหมายถึงความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการ “เปลี่ยนแปลง” ทางการเมืองแบบขนานใหญ่ได้เหมือนกัน

เริ่มจากเรื่องแรก กรณียุบพรรคก้าวไกล ที่ส่วนใหญ่มองเห็นตรงกันว่า “โอกาสยุบ” มีสูงกว่าไม่ยุบ เนื่องจากพิจารณาจากคำวินิจฉัย “ช็อตแรก” ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 เมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่ผ่านมา กรณีหาเสียงแก้ไข มาตรา 112 เป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมถึงมีพฤติกรรมเป็นการบั่นทอน บ่อนเซาะ สถาบันพระมหากษัตริย์ ถือว่าเป็นความผิดชัดแจ้ง เพียงแต่ตอนนั้น ผู้ร้องไม่ได้ร้องให้ยุบพรรค เพียงแต่ให้วินิจฉัยว่า เป็นการล้มล้างการปกครองฯ หรือไม่ เท่านั้นเอง และให้หยุดพฤติกรรมและการกระทำดังกล่าว

ทำให้มีดาบที่สองตามมาแบบ “ไฟต์บังคับ” นั่นคือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ก็ต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ยุบพรรคก้าวไกล นั่นแหละ ซึ่งศาลนัดชี้ชะตาในวันที่ 7 สิงหาคม นี้

ดังนั้นหากพิจารณากันถึงแนวโน้มแล้ว หากไม่คิดแบบหลอกตัวเอง มันก็มีแนวโน้มว่า น่าจะยุบมากกว่าไม่ยุบ ถึงขนาดที่บางคนกล้าฟันธงกันเลยว่า “ยุบล้านเปอร์เซ็นต์” เพียงแต่ว่าเมื่อยังไม่มีคำชี้ขาดออกมา การพูดแบบมั่นใจแบบนั้น มันก็ยังไม่ควรอยู่ดี

อย่างไรก็ดี เมื่อสำรวจเข้าไปในใจในพรรคก้าวไกล เวลานี้เหมือนกับรับรู้ชะตากรรมกันล่วงหน้ากันแล้ว โดยเฉพาะการเตรียมหาพรรคใหม่รองรับไว้แล้ว

แต่ปัญหาที่ต้องจับตาไปกว่านั้นก็คือ การย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ และที่เหลือจะไปกันครบหรือไม่ หรือว่าจะมี “งูเห่า” เลื้อยไปพรรคไหนบ้าง และที่สำคัญหากมีการยุบพรรคก้าวไกล คนที่รอดและคนที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี จะมีใครบ้าง และคนที่เหลือ จะได้รับความนิยมจนสามารถนำพรรคใหม่ชนะการเลือกตั้งเกิน 250 เสียงแบบ “แลนด์สไลด์” ตามที่บางคนเชื่ออย่างนั้น และท้าทายให้ยุบตามทฤษฎีที่ว่า “ตายสิบเกิดแสน” จริง หรือไม่

สำหรับรายชื่อหลักๆ ที่หากยุบพรรค ต้องโดนแน่ๆ คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายชัยธวัช ตุลาธน ซึ่งขณะเกิดเหตุ เขาเป็นหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค เพียงแค่ชื่อเหล่านี้ก็น่าจะพอตัดสินได้แล้วว่า ผลในอนาคตจะเป็นอย่างไร

ส่วนที่รอด ที่เด่นๆ ก็มี น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรค นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นายพริษฐ์ วัชรสินธุ และ นายรังสิมันต์ โรม เป็นต้น โดยคนที่รอด ลองสำรวจความเป็นไปได้ว่าใครที่น่าจะ “ปอปปูล่า” น่าจะนำพรรคไปได้แบบก้าวกระโดดชนะเลือกตั้ง แบบตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เพราะเป็นการเลือกนายกรัฐมนตรีควบคู่กันไปด้วย แต่ถึงอย่างไรค่อยมาว่ากันอีกที เพราะเวลายังมาไม่ถึง

อีกกรณีหนึ่งที่ถือว่าเป็นอีกเรื่องใหญ่ นั่นคือ คำร้องยื่นถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน จากการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ขาดคุณสมบัติ โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยชี้ขาดในวันที่ 14 สิงหาคม เรียกว่า เป็นสองสัปดาห์ที่ต้องลุ้นระทึกจริงๆ

กรณีของ นายเศรษฐา ทวีสิน ก็ถือว่า “น่าหวาดเสียว” ไม่แพ้กัน แม้ว่าอาจจะเหลื่อมมาทางบวกในแบบ “ลุ้นห้าสิบห้าสิบ” ก็ตาม ผิดกับกรณีแรกของพรรคก้าวไกล ที่ “แทบจะหมดลุ้น” กันเลย

โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณากรณีที่สมาชิกวุฒิสภาจำนวน 40 คนยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้องที่ 1) ได้นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน (ผู้ถูกร้องที่ 2) เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งๆที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่านายพิชิต ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) (5) หรือไม่ ผู้ร้องจึงส่งคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 3 รัฐธรรมนูญมีคำสั่งไม่รับคำร้องเฉพาะส่วนของ นายพิชิต สำหรับกรณีของนายเศรษฐา มีคำสั่งขอรับไว้พิจารณา โดยนายเศรษฐา ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง หาคู่กรณีประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดี ให้ยื่นเป็นหนังสือต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ประกอบข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ 2562 ข้อ 24 ภายในวันที่ 31 ก.ค.67

ส่วนคำร้องที่ผู้เกี่ยวข้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้รวมไว้ในสำนวนคดี ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ประชุมปรึกษาหารือและลงมติ ในวันที่ 14 ส.ค. 2567 เวลา 09.30 น. โดยนัดฟังคำวินิจฉัยเวลา 15.00 น. เป็นต้นไป

ที่บอกว่าทั้งสองกรณีเป็นเรื่องที่อาจ “พลิกเกมการเมือง” และ แม้ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เพียงแต่ว่ามันสัมพันธ์กัน นั่นคือ หากทั้งสองกรณีออกมาเป็นลบ กรณีแรกคือการยุบพรรคก้าวไกล มันก็ย่อมส่งผลทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคชุดเดิมต้องถูกตัดสิทธิ์การเมืองเป็นเวลา 10 ปี และในจำนวนนั้นก็มีชื่อ ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายชัยธวัช ตุลาธน รวมอยู่ด้วย ดังนั้นเมื่อขาดสองคนนี้ โดยเฉพาะนายพิธา จะทำให้พรรคนี้ (ในชื่อพรรคใหม่) จะยังได้รับความนิยมเหมือนกับที่บรรดา “ด้อม” ทั้งหลาย “กรี๊ดกร๊าด” ได้แบบเป็นพายุได้หรือเปล่า เพราะหลายคนเชื่อว่า แม้ว่าพรรคนี้ยังมีกระแสดี แต่เมื่อหมดตัวหลักๆ ในปัจจุบันแล้ว แรงดึงดูดก็จะไม่แรงพอ และยังเป็นการพิสูจน์ความเชื่อที่ว่า “ตายสิบเกิดแสน” ว่ายังใช้ได้กับกรณีนี้หรือไม่ นี่ถึงได้บอกว่า เป็นการ “พลิกเกมแรก”

ส่วน “พลิกเกมที่สอง” หากผลออกมาเป็นลบกับ นายเศรษฐา ทวีสิน ในวันที่ 14 สิงหาคม ก็ย่อมส่งผลให้รัฐบาลพ้นไปทั้งคณะ ต้องมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกันใหม่ นั่นถึงได้เห็นภาพ “ก๊วนเขาใหญ่” เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่มีนายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย ออกรอบกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ ในวันถัดมาก็มีถอนเรื่องกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดไปแล้ว และตามมาด้วย “ประธาน และรองสีน้ำเงิน” ในวุฒิสภา เป็นลักษณะการ “แพ็ก” กันล่วงหน้า ป้องกันความเสี่ยง

เอาเป็นว่าอีกไม่กี่วัน ในเดือนสิงหาคม ที่ “สองเรื่องใหญ่” กลายเป็นวันชี้ชะตา ว่าจะทำให้ “พลิกเกมการเมือง” ได้หรือไม่ ซึ่งหลายคนได้ฟันธงกันไปแล้ว ส่วนจะถูกทุกข้อ หรือว่าแค่บางข้อ ก็ต้องรอดูด้วยใจระทึก !!


กำลังโหลดความคิดเห็น