ข่าวปนคน คนปนข่าว
** “พี่ต่อเฟรนด์ลี่” สบายใจอยู่กันแบบพี่น้องกับ “โจ๊ก ฟ้องดะ” !
ตั้งแต่“บิ๊กต่อ”พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวานนี้ (3ก.ค.) เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์สื่อ
แน่นอนว่า “บิ๊กต่อ”โดนยิงคำถามรัวๆ ถึง “โจ๊ก” พล.ต.อ.สรุเชษฐ์ หักพาล ซี่งถูกคำสั่งให้ออกจากราชการ และถูกจับคู่ ให้เป็นคู่กรณีกัน
“พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ผบ.ตร.ผู้ซึ่งได้รับฺฉายาจากสื่อว่า “ต่อเฟรนด์ลี่”เพราะ บุคคลิกการแสดงออกที่สุภาพเรียบร้อย เรียกแทนตัวเองว่า “พี่” พูดจาเป็นมิตรกับทุกคน หรือ “เฟรนด์ลี่” ไม่ขอตอบหรือออกความเห็นเป็นบางเรื่องที่เกี่ยวกับ “โจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์
อย่างเช่น เรื่องมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจที่มีมติ 12 ต่อ 0 ยืนยันว่า คำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการชอบด้วยกฎหมาย ก็โนคอมเมนต์
ถามว่ามีกระแสข่าวว่าจะลาออกก่อนเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร? “ต่อเฟรนด์ลี่”บอกเป็นเรื่องที่พูดกันไป ยังไม่มีอะไร ยืนยันว่า ทำงานเต็มที่ และ ทำงานได้อย่างสบายใจ
เรียกว่า ใครจะขัดแย้งใคร “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ไม่ได้เก็บมากังวลใจ รวมไปถึงคำถามจะเซ็นยกเลิกคำสั่งที่ให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ออกจากราชการหรือไม่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ขออย่าไปพูดถึง ใน ตร.ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกคนทำงานร่วมกันได้ ยืนยันว่าตัวเองกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่มีความขัดแย้งอะไรกัน อยู่กันแบบพี่น้อง!
ขณะที่ “บิ๊กต่อ”เฟรนด์ลี่กับทุกๆ คน ทุกๆ เรื่อง แต่“โจ๊ก”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กลับมีอาการน่าเป็นห่วง ประกาศเป็นศัตรูกับทุกคน
ความเคลื่อนไหวของ “โจ๊ก” เมื่อวานนี้ (3ก.ค.) ไปในทางตรงกันข้าม กับ"พี่ต่อเฟรนด์ลี่"หาเรื่อง"ฟ้องดะ" กับผู้อื่นเหมือนเดิม
โดยยื่นกล่าวหา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต่อ ป.ป.ช. กรณีแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร. โดยมิชอบ ตาม มาตรา157 ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 เม.ย. “โจ๊ก”เคยยื่นฟ้องไปแล้ว และ ถอนฟ้องในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา
คราครั้งนี้ “โจ๊ก” ลั่นวาจาจะไม่ถอนฟ้องอีก เพราะ เชื่อว่าเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน
พร้อมทั้งคุยโว การฟ้องครั้งนี้ไม่ได้จัดหนัก ไม่ได้โกรธส่วนตัวกับนายกรัฐมนตรี แต่เห็นว่าเป็นการกระทำผิดในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ส่วนตนเองอาจจะได้กลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรืออาจจะถูกออกไปเลยก็ได้นั้นก็ไม่เป็นไร
คดีเดียวไม่พอ “โจ๊ก” ยังว่า จะฟ้องนายกรัฐมนตรีเพิ่มอีก กรณีเซ็นให้ตนเองกลับไปยังสำนักงานตำแหน่งแห่งชาติ และ เรื่องเซ็นรับรองผลการประชุม ก.ตร.
นี่ต้องบอกว่า “ต่อเฟรนด์ลี่” กลับมาอยู่ในร่างเดิม ส่วน “โจ๊ก” อยู่กับความแค้นต้องชำระ หน้ามืดต้องใช้ไฟส่อง คู่นี้เขารักกันดีอยู่กันแบบพี่น้องงงง. นะครับนะ
** ยุบก้าวไกล ลุ้นเกมสั้น หรือลากยาวไปถึงเดือนกันยายน
มีความคืบหน้าจากการประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวานนี้ (3 ก.ค.) ที่ได้มีการอภิปรายในคดีที่ กกต. โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัย เพื่อมีคำสั่ง “ยุบพรรคก้าวไกล” และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลผู้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรค และห้ามมิให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรค และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่ง
เนื่องจากมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา ศาลฯได้มีคำสั่งให้นำพยานเอกสาร ในสำนวนการไต่สวนคดีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 3/2567 ซึ่งก็คือ คดี แก้ ม.112 ที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”และพรรคก้าวไกล ถูกศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสอง เป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มารวมไว้ในสำนวนคดีนี้ด้วย และได้แจ้งให้ “ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ “แสวง บุญมี” เลขาธิการ กกต. เสนอบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริง หรือความเห็นล่วงหน้าตามประเด็นที่ศาลฯ กำหนด กลับมายังศาลฯ ภายใน 7 วัน
ซึ่งในการประชุม เมื่อวานนี้ (3 ก.ค.) ศาลฯให้รอฟังผลการตรวจพยานหลักฐานของคู่กรณี ในวันอังคารที่ 9 ก.ค.นี้ อีกครั้ง ว่าพยานหลักฐานต่างๆ ที่ยื่นมานั้น เพียงพอที่ ศาลฯจะพิจารณาได้หรือยัง และนัดพิจารณาคดีครั้งต่อไป ในวันพุธที่ 17 ก.ค.
นั่นคือ ถึงวันนี้ศาลฯ ก็ยังไม่มีคำสั่งให้มีการไต่สวนคู่กรณีแต่อย่างใด ต้องดูผลจากการตรวจพยานหลักฐานของคู่กรณี ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ก่อน ถ้าเพียงพอแล้วก็ไม่ต้องไต่สวน แต่ถ้ายังไม่เพียงพอ ก็เรียกเพิ่ม หรือเปิดการไต่สวน
เรื่องนี้ “นครินทร์ เมฆไตรรัตน์” ประธานศาลรัฐธรรมนูญ คาดการณ์ว่า คดีจะพิจารณาเสร็จก่อนเดือนก.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ามีความกดดัน ทั้งกดดันตัวเอง และสังคมก็กดดันศาลฯ เพราะเป็นคดีสำคัญ เราต้องมีความเที่ยงธรรม และชี้แจงในข้อข้อสงสัยต่างๆได้ ทั้งนี้การตัดสินใจของศาลฯ เป็นการตัดสินใจโดยองค์คณะ ไม่ใช่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งองค์คณะก็มีความเห็นเป็นอิสระ ที่ต้องแสดงออกมาอย่างชัดเจนในใบแถลงข่าว ใครตัดสินใจอย่างไร มีการเปิดเผยหมด
ขณะที่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวว่า คดีนี้ถือเป็นคดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคที่ประชาชนเลือกมา 14 ล้านเสียง เป็นอันดับ 1 ของประเทศ ตอนนี้ประชาชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ จับตาดูอยู่ หวังว่าศาลฯ จะเปิดให้มีการไต่สวน ถือว่าเป็นการให้โอกาสทั้งสองฝ่ายสู้คดีอย่างเต็มที่
นั่นเป็นการต่อสู้กันในด้านกฎหมาย แต่ในทางการเมืองก็เตรียมเผื่อไว้ในอนาคต เช่น การเตรียมพรรคสำรองเอาไว้ เพราะที่ผ่านมาก็มีการยุบมาไม่รู้กี่พรรค ต่อกี่พรรค
ส่วนจะมี “งูเห่าสีส้ม” หรือไม่ “ปิยบุตร”เห็นว่า บริบททางการเมืองในรอบนี้ กับรอบที่แล้วต่างกัน รอบที่แล้วเสียงของฝ่ายค้าน และรัฐบาล ก้ำกึ่งมาก การดึงสส.ให้ย้ายขั้วจึงมีความสำคัญ แต่รอบนี้เสียงทิ้งห่าง ฝ่ายรัฐบาลคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดึง สส.พรรคก้าวไกลไปร่วมด้วย
อีกอย่าง กระแสของพรรคก้าวไกลก็กำลังมาแรงมาก ดังนั้น บรรดา สส.ของพรรค ต้องคิดให้ดีว่า คุณจะเลือกข้างอดีต หรืออนาคต ถ้าคุณเลือกข้างอนาคตก็ยังต้องไปกับก้าวไกล เพราะการเลือกตั้งปี 2570 ยังมีความหวังอยู่
ดังนั้น ต้องจับตาว่า คดียุบพรรคก้าวไกล ศาลฯจะเปิดให้มีการไต่สวนคู่กรณี หรือไม่ ถ้าต้องไต่สวนก็อาจยืดเวลาออกไปอีกสักระยะ แต่ถ้าไม่ต้องไต่สวน ก็คงจะรู้ผลสรุปในไม่ช้านี้ว่า ยุบ หรือไม่ยุบ.