เมืองไทย 360 องศา
เริ่มเห็นสัญญาณทะแม่งให้เห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ สำหรับการเมืองในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม ที่ทุกอย่างใกล้จะมีการตัดสินชี้ขาดเข้ามาแล้ว โดยเฉพาะล่าสุดได้เห็นความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังอยู่ในระหว่างการพักโทษ ได้ออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวแบบผิดปกติ นั่นคือการ “เปิดหน้าชน บ้านป่ารอยต่อฯ” ซึ่งหากพิจารณาในรายละเอียดแล้ว ความหมายที่นอกจากพุ่งไปที่ “ป.ประวิตร” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แล้ว ก็น่าจะรวมถึง “ป.ประยุทธ์” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าไปด้วย
ขณะเดียวกัน การออกมาให้สัมภาษณ์แบบ “ตั้งใจ” สื่อออกมาแบบนี้ หากมองอีกมุมหนึ่งมัน ก็เหมือนกับว่า เขากำลังอยู่ในสภาพ “หลักพิงฝา” เกมเริ่มพลิกทั้งในเรื่องคดีความว่าจะ “รอด” หรือ “ไม่รอด” และการออกมาพบมวลชนคนเสื้อแดง (ที่ยังเหลืออยู่) เหมือนกับว่าพยายามตรึงเอาไว้ เป็นกำแพงเป็นหลังพิงให้เขาในยามที่ลำบากอีกรอบ
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่ลานเทศบาลตำบลธัญบุรี (คลองเจ็ด) ต.ลำผักกูด อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางมา เป็นประธานงานเลี้ยงฉลองบวช นายสมิทธิพัฒน์ หลีนวรัตน์ ลูกชายของนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ (นายเบี้ยว) นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี โดยมีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ร่วมเดินทางไปด้วย โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ มีการจัดโต๊ะจีน กว่า 2,000 โต๊ะ โดยผู้ร่วมงานส่วนใหญ่ต่างพร้อมใจกันใส่เสื้อแดงมาร่วมงาน
นายทักษิณ ได้ให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับอาการป่วยโควิดหลังไม่ได้เดินทางไปสำนักงายอัยการตามนัดหมาย วันที่ 29 พฤษภาคม ว่า ตอนนี้หายป่วยแล้ว อาการรอบนี้ไม่ได้หนักเหมือนรอบแรก ส่วนใหญ่มีแค่ไข้นิดๆ แต่กลัวไปติดคนอื่น วันนั้นจึงให้ทนายรีบแจ้งไปยังอัยการ
เมื่อถามว่าจะไปตามนัดหมายอัยการที่นัดส่งฟ้องคดีวันที่ 18 มิถุนายน หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ถ้านัดมาก็ไป เพราะครั้งที่แล้วป่วย ครั้งแรกอัยการเลื่อนนัด ครั้งที่สองตนป่วย แต่วันที่ 18 มิถุนายน นี้ก็ไม่มีเหตุอะไร เมื่อถามย้ำว่าวันที่ 18 มิ.ย. จะเดินทางไปด้วยตัวเองใช่หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ก็แน่นอนสิ ส่วนจะต่อสู้คดีอย่างไรนั้น ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยคดีนี้ และคดีนี้จะเป็นตัวอย่างให้คนเห็นว่า ตอนปฏิวัติ ยัดข้อหาอย่างไร
นายทักษิณ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีที่ไม่มีมูลเลยแม้แต่นิดเดียว และพยายามที่จะนำไปตีความเพื่อให้มันมีมูล และเมื่อคนหนึ่งสั่งฟ้อง คนอื่นก็ไม่กล้าที่จะสั่งไม่ฟ้อง เลยสั่งฟ้องซึ่งไม่ใช่หลักกฎหมาย จริงๆแล้วไม่มีอะไร
เมื่อถามว่า วันที่ 18 มิ.ย. นี้กังวลเรื่องจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “โอ๊ยไม่มีอะไรหรอก คดีแทบจะไม่มีมูลแบบนี้เขาเรียกว่าเป็นผลไม้ของต้นไม้ที่เป็นพิษ คือการทำคดีแต่ละข้อกล่าวหาตั้งแต่ต้น ที่มีการข่มขู่ ตั้งแต่ในชั้นพนักงานสอบสวน โดยผู้บังคับบัญชา คดีไม่ควรเป็นคดี
เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายทักษิณ หนีออกนอกประเทศไปแล้ว นายทักษิณ กล่าวว่า ตนว่าจินตนาการเยอะไป หาว่าน.ส.แพทองธาร พาตนออกไปสิงคโปร์ ปัดโถ่เอ๊ย
เมื่อถามอีกว่ายืนยัน จะไม่ได้เดินทางออกไปนอกประเทศใช่ หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า อยากไปเที่ยว
เมื่อถามว่าการที่ นายทักษิณไม่ได้เดินทางไปอัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 29 พ.ค. ทำให้ถูกเชื่อมโยงกับดีลการเมืองต่างๆ นายทักษิณ กล่าวว่า “ไม่มี ผมไม่ได้ดีลกับใครเลย ดีลกับหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ย้ำว่าไม่เกี่ยวกับดีลไม่ได้ เลยไม่ไปตามนัด ไม่เกี่ยวจริงๆ หากจะมีคนวุ่นวายก็แถวบ้านในป่านั้นแหละ แต่ไม่เกี่ยวกับผม เกี่ยวกับรัฐบาล”
เมื่อถามอีกว่า คนในป่าที่ว่า หมายถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่รู้ มีใครบ้างอยู่ในป่า
ผู้สื่อข่าวถึงตอบกลับไปว่า มีสองลุงเลย นายทักษิณ จึงกล่าวว่า ตนว่าบ้านเมืองถึงเวลาสงบได้แล้ว อีกอย่างสื่อมวลชน เรื่องการเมืองก็พยามเบาๆลง บ้านเมืองจะได้เดินหน้า เพราะทุกวันนี้ปัญหาบ้านเมืองยากกว่าตอนที่ตนเป็นนายกฯ มันเละมานาน แม้ระบบราชการเองก็เปลี่ยนไปเยอะ อยากให้ช่วยกันทุกฝ่ายยึดกติกาการเมืองอย่างสร้างสรรค์ เพราะทุกวันนี้ทุกคนพยายามคิดว่า ถึงเวลาใครก็เป็นได้ มันต้องมีกติกาใครอยากจะเป็นก็ต้องมีกติกา
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า เป็นการส่งสัญญาณอะไรให้คนในป่า หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “ไม่รู้ อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาอย่างนั้นแหละ”
เมื่อถามอีกว่า ได้มีการพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และพล.อ.ประวิตร บ้างหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า “ไม่ได้เจอเลย ไม่ได้เจอเลย”
เมื่อถามถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องที่ 40 สว. ยื่นตรวจสอบคุณสมบัติ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นายทักษิณ กล่าวว่า เมื่อส่งเรื่องไปแล้วศาลรับ ก็ต้องดูตั้งแต่เริ่มต้นว่า 40 คนนี้ เป็นคนของใคร และเคลื่อนไหวเพื่ออะไร
เมื่อถามว่าเรื่องนี้ จะมีปัญหาต่อรัฐบาลหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่น่าจะมีอะไร เพราะรัฐบาลน่าจะตอบได้ คือจริงๆ แล้ว กฎหมายโดยหลักการต้องดูว่าหากมีเจตนาไม่บริสุทธิ์จึงจะต้องถูกลงโทษ แต่หากมีเจตนาบริสุทธิ์โดยหลักกฎหมายแล้วก็ไม่มีปัญหา
แน่นอนว่า หากจับใจความจากคำพูดดังกล่าวมันสะท้อนให้เห็นอยู่สองสามเรื่องหลักๆก็คือ การพุ่งเป้าไปที่ “บ้านป่ารอยต่อ” ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงกรณี 40 สว. ที่ยื่นเรื่องถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน ที่ขาดคุณสมบัติ เป็นรัฐมนตรี กล่าวหาว่าคนในบ้านป่าที่ว่านั้น “วุ่นวาย” อีกเรื่องก็คืออ้างว่าตัวเอง “ถูกยัดเยียดข้อหา” เป็นผลพวงมาจากการรัฐประหาร เป็น “ผลไม้พิษ”
หากฟังแบบนี้แล้ว ก็พุ่งเป้าไปที่ “คนในบ้านป่า” ที่มีชื่อเต็มว่า “มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด” และยังใช้คำว่า “มีกี่คนละอยู่ในบ้านป่า” ซึ่งหากพิจารณาแล้วในบริเวณนั้นคือ กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ซึ่งที่ผ่านมาจะใช้สถานที่แห่งนี้พบปะบุคคลสำคัญทางการเมืองอยู่เสมอ นอกเหนือจากนี้ ในกรมทหารราบที่ 1 ดังกล่าว ยังมีบ้านพักของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าคสช.อยู่ในนั้นด้วย
ดังนั้นเป้าหมายก็น่าจะเป็น “สอง ป.” เพราะเขาชี้ให้เห็นถึง 40 สว. ว่าเป็นคนของใคร ที่บอกว่าเป็นคนยื่นถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน
อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปเมื่อครั้งจัดตั้งรัฐบาลเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จะเห็นว่า มีกลุ่มส.ว.ที่ใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยกมือโหวตหนุน นายเศรษฐา จนได้เป็นนายกรัฐมนตรี และตรงกับวันที่นายทักษิณ กลับบ้าน ซึ่ง นายทักษิณ ปฏิเสธว่า “ไม่มีดีลลับ”
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากสถานการณ์ที่ นายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน เผชิญอยู่ในเวลานี้ ทั้งเรื่องคดีความผิด มาตรา 112 ที่กำลังจะสั่งฟ้องในวันที่ 18 มิถุนายน ต้องลุ้นการประกันตัวในวันนั้น รวมไปถึงคดีในศาลรัฐธรรมนูญของ นายเศรษฐา ที่กำลังจะชี้ชะตาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเช่นเดียวกัน ทั้งสองกรณี ถือว่ากำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับเขาอย่างแรง ดังนั้น การแสดงท่าทีแบบนี้มันก็เหมือนกับการ “เปิดหน้าแลก” แต่ก็เป็นในลักษณะ “หลังพิงฝา” แม้ว่าบางมุมอาจจะมองว่าเขากำลังกุมทุกอย่างในมือ แต่นาทีนี้เกมทำท่าพลิก เหมือน “แขวนบนเส้นด้าย” ไม่มีผิด !!