xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ป้อม” ปะทะ “แม้ว” เกมยื่นถอด “เศรษฐา” ของจริง หวังเสียบเก้าอี้ “นายกฯ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เป็น “อาถรรพ์” หรืออย่างไรไม่ทราบได้ เพียงแค่การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งแรกของ “นายกฯนิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นำมาซึ่งอาฟเตอร์ช็อกมีรัฐมนตรีทยอยลาออกไปแล้วถึง 3 ราย

ทำเอาเส้นทางของ “นายกฯ นิด” ที่ดูจะราบรื่นมาตลอดกว่า 7 เดือนก่อนหน้านี้ ก็ต้องสะดุดไปเหมือนกัน

ไล่ตั้งแต่ “เสี่ยตั๊ก” ปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง “ครม.เศรษฐา 1/1” ได้ไม่กี่ชั่วโมง ตามมาด้วย “ปลัดตู่” กฤษฎา จีนะวิจารณะ ที่ประกาศลาออกจาก รมช.คลัง ในสัปดาห์ให้หลัง

โดยในส่วนการลาออกของ “ปานปรีย์-กฤษฎา” เป็นไปในทำนองเดียวกันคือ ถูกลดอำนาจหน้าที่หลังการปรับ ครม.

กระทั่งมาถึงคิว “ทนายถุงขนม” พิชิต ชื่นบาน ที่จำใจต้องลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หลังกลุ่ม 40 สว. ยื่นคำร้องต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ ให้พิจารณาวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ “เศรษฐา” และ “พิชิต” สิ้นสุดลงหรือไม่ เหตุกระทำการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง และกระทำการขัดรัฐธรรมนูญ กรณีเสนอชื่อ-แต่งตั้ง “พิชิต” ทั้งที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญปี 2560

จาก “ชนัก” ที่ “พิชิต” ถูกคำสั่งศาลให้จำคุก 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา กรณีที่นำถุงขนมที่บรรจุเงินสด 2 ล้านบาท ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการ ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระหว่างการพิจารณาคดีที่ดินรัชดาฯ ที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลย อันเป็นที่มาของสมญา “ทนายถุงขนม”

ปิดฉากความเป็นรัฐมนตรีของ “พิชิต” ในเวลาไม่ถึง 3 สัปดาห์ดี

โดยในหนังสือลาออก “พิชิต” ระบุว่า เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และไม่กระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีที่มีความจำเป็นต้องเดินหน้าด้วยความต่อเนื่อง ข้าพเจ้าจึงไม่ยึดติดกับตำแหน่ง

อ่านไม่ยากว่าเป็นไปตามยุทธศาสตร์ “สละเบี้ย รักษาขุน” เพราะคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญนั้นมีชื่อของ “เศรษฐา” เป็นผู้ถูกร้องที่ 1 อยู่ด้วย

ทว่า การที่ “พิชิต” ลาออก ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องอย่างที่คาดหวังไว้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญก็ยังได้มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา แต่ก็ยังปราณี โดยไม่สั่งให้ “เศรษฐา” หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว เช่นกรณีอื่นๆ ก่อนหน้านี้

แต่ก็ไม่รับคำร้องกรณี “พิชิต” เนื่องจากได้ลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีแล้ว

การเปิดทางให้ศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาเป็นคิวแทรกในกรณีของ “พิชิต” ก็คล้ายกับผลัก “นายกฯ นิด” ที่กำลังเพลิดเพลินกับการทำหน้าที่ผู้นำประเทศ เข้าสู่ “หลักประหาร” โดยไม่จำเป็น แม้จะเชื่อลึกๆว่า จะเอาตัวรอดได้ก็ตาม จนมีคำถามไปถึงเหตุผลความจำเป็นที่ต้อง “ดันทุรัง” ตั้ง “พิชิต” ที่รู้ทั้งรู้ว่ามี “ตำหนิ” เข้ามาเป็นรัฐมนตรี จน “เศรษฐา” ต้องสุ่มเสี่ยงไปด้วย

คำตอบไม่พ้นคุณสมบัติความเป็น “ทนายจันทร์ส่องหล้า“ ที่ ”พิชิต” ทำหน้าที่ดูแลด้านกฎหมายให้กับตระกูลชินวัตรมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ “ชินวัตรผู้พี่” ทักษิณ ชินวัตร และ “ชินวัตรผู้น้อง” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งก็เป็น “พี่แม้ว-น้องปู” นี่เองที่ลุยไฟปูนบำเหน็จ “ทนายถุงขนม” แบบไม่ยี่หระเสียงครหา-ข้อกฎหมาย

เอาเข้าจริงช่วงการตั้งรัฐบาล “เศรษฐา 1” ก็เคยมีชื่อ “พิชิต” ร่วม ครม.แล้ว แต่ก็ติดตรงคุณสมบัติ จนต้องถอนชื่ออกไปในแทบจะนาทีสุดท้าย ระหว่างนั้นก็มีการทำหนังสือจาก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในเรื่องข้อกฎหมาย

 เศรษฐา ทวีสิน

 พิชิต ชื่นบาน
ปรากฎในหนังสือสอบถามไม่ได้เจาะจงที่ชื่อ “พิชิต” แต่เป็นการสอบถามเรื่องคุณสมบัติแบบอ้อมๆ ว่า กรณีเคยถูกจำคุกด้วยคำสั่งศาล และพ้นโทษมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว สามารถเป็นรัฐมนตรีได้หรือไม่

คำตอบ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ตอบแบบ “กลางๆ” ว่า คุณสมบัติที่ระบุไปนั้นไม่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ แต่ก็มี “หมายเหตุ” ห้อยท้ายไว้ว่า เป็นแค่ความเห็น เพราะอำนาจการวินิจฉัยเป็นของ ศาลรัฐธรรมนูญ

น่าสนใจว่าความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เดิมทั้ง “นายกฯ เศรษฐา” รวมไปถึง “พิชิต” เองมั่นอกมั่นใจว่า เคลียร์คัททุกประเด็นแล้ว กระทั่งกลุ่ม 40 สว.ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยังดูจะมั่นใจกันอยู่

ดูได้จากเช้าวันเดียวกับที่ “พิชิต” ยื่นหนังสือลาออก เจ้าตัวยังแถลงข่าวในท่าทีมั่นใจเป็นอย่างมากว่า คุณสมบัติครบถ้วน ไม่กระทบการทำงาน เพราะได้ชี้แจงไปหมดแล้ว พร้อมท้าดวล 40 สว.ที่ยื่นคำร้องด้วย กระทั่งเกิดเปลี่ยนใจมาลาออกในช่วงเย็นวันเดียวกัน

เสียงลือเสียงเล่าอ้างระบุว่า การตัดสินใจลาออกของ “พิชิต” มีแรงกดดันจาก “นายกฯ เศรษฐา” ที่หวังใจว่า จะตัดตอนทางคดี ไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง แต่ “พิชิต” ก็อ้างว่า เช็กสัญญาณมาว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับคำร้อง และสามารถชี้แจงได้ทุกประเด็น

ขณะเดียวกัน “บิ๊กเพื่อไทย” ที่เป็นรัฐมนตรีเบอร์ใหญ่ในรัฐบาล ก็ได้ต่อสายถึง “บิ๊กขั้วอำนาจเก่า” เพื่อเช็กสัญญาณถึงแนวโน้มในเรื่องนี้ ก่อนจะมาร่วมกดดันให้ “พิชิต” ลาออกอีกเสียง

กระทั่งมีการต่อสายจาก “คนแดนไกล” มาเกลี้ยกล่อม “พิชิต” โดยถึงขั้นให้ “คนสนิท” นำโทรศัพท์ไปดักรอที่หน้าห้องทำงานของ “พิชิต” บนตึกบัญชาการ เพื่อขอน้องแกมบังคับให้ลาออก และไม่กี่นาทีจากนั้น หนังสือลาออกของ “พิชิต” ได้ถูกส่งเข้ามาในไลน์กลุ่มสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล

เชื่อได้ว่า “ระดับตัดสินใจ” รับรู้ได้ถึง “สัญญาณแรง” จนต้องสละเบี้ย หรือตัดเนื้อร้ายอย่าง “พิชิต” จนเกิดเป็นแรงกดดันให้ “พิชิต” ลาออก ก่อนภัยจะไปถึงตัว “เศรษฐา”

เพราะด้วยแค่ระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์หลัง 40 สว.ยื่นคำร้อง ได้มีการพิเคราะห์ไปถึง “ตัวตายตัวแทน” ที่จะมาเสียบแทน “เศรษฐา” หากพลาดพลั้งถูกประหารทางการเมือง

สำคัญตรงตัวตายตัวแทนที่ถูกพูดถึงกลับไม่ใช่ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือ ชัยเกษม นิติสิริ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่มีอยู่อยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกฯ แต่กลับมีการเอ่ยถึงแคนดิเดตของพรรคร่วมรัฐบาลคนอื่นที่มีภาษีดีกว่า

แน่นอนว่าพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลคงยอมไม่ได้ที่จะให้ “คนนอก” ขึ้นมากินโควตาเก้าอี้นายกรัฐมนตรี แทนคนของตัวเอง อีกทั้งก็มีคำถามถึงความพร้อมของ “แพทองธาร-ชัยเกษม” ทำให้ต้องรักษา “เศรษฐา” ไว้สุดชีวิต

มีการอ่านด้วยว่า เกมการยื่นคำร้องโดย 40 สว.นั้น “ไม่ธรรมดา” เพราะได้รับการตีธงจาก “อำนาจเก่า” ที่ต้อง “กระตุก” ให้พรรคเพื่อไทยอยู่ในลู่เลนตาม “ดีล” ที่ตกลงกันไว้ ไม่ผยองพองขนลามไปจนถึงล้ำเส้นจนเกินพอดี หรือกระทั่งหวังไปไกลถึงให้เปลี่ยนตัวนายกฯ เลยด้วย

ว่ากันว่า กลเกมนี้มีการเดินผ่านเครือข่าย “บ้านป่ารอยต่อ” ของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยมอบหมายให้ ไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นผู้เขียนร่างคำร้อง และใช้คอนเนกชั่นในฐานะอดีต สว.ประสานกับพรรคพวกให้ออกหน้าเดินเกม

นำมาซึ่งปฏิบัติการสายฟ้าแลบ ที่แทบไม้มีสัญญาณล่วงหน้า จู่ๆ “สว.อ๊อด” ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สมาชิกวุฒิสภา รับบทหัวหมู่ทะลวงฟัน ตีปี๊บว่าได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญผ่านทาง พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ที่ชงต่อไปที่ศาลรัฐธรรมนูญทันทีแบบไม่เงื้อง่าราคาแพง

ซ้ำร้ายกระบวนการในขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยังเป็นไปด้วยความรวดเร็ว ที่ใครจะหาว่า มีการวางเกมเป็นขั้นตอนราวกับนัดแนะกันมา ก็คงปักใจเชื่อได้ไม่ยาก

พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ

 ทักษิณ ชินวัตร
ทำให้การยื่นถอดถอน “นายกฯ เศรษฐา” ของ 40 สว.ในครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็น “เรื่องการเมือง” มากกว่าเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง หรือทำตามกฎหมายอย่างที่ “ดิเรกฤทธิ์” กล่าวอ้าง และเหนือกว่าการสั่งสอน “ทักษิณ“ นักโทษชายเด็ดขาดที่กำลังอยู่ระหว่างได้รับการพักโทษ กำลัง “ผยอง” ในอำนาจของตัวเองอย่างเต็มที่ด้วย

เป็นเรื่องการเมืองที่เล็งเห็นผลไปถึงการเปลี่ยนแปลง “หัวหน้ารัฐบาล” เลยทีเดียว ซึ่งจะเป็นหัวหน้ารัฐบาลที่หนีไม่พ้น ”สูตรผสมพันธุ์“ ตามสมการรัฐบาลที่ต้องไม่มี พรรคก้าวไกล เข้ามาร่สม

คำถามมีว่า หาก “เศรษฐา” หลุดจริง ใครจะมาแทนที่

ด้วย “แพทองธาร” ก็ยังติดปัญหาเรื่องชั่วโมงบิน ล่าสุดออกมาปีนเกลียว “ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ” ก็ถูกโห่เกรียวจนแทบหาทางกลับบ้านไม่ถูก ขณะที่ “ชัยเกษม” ก็ยังติดปัญหาเรื่องสุขภาพ ไม่เหมาะการนำพารัฐนาวาในสถานการณ์เช่นนี้

แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคร่วมรัฐบาลที่ยังมีชื่อยู่ในบัญชี ได้แก่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ “บิ๊กตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ อาจจะได้ลุ้น “ส้มหล่น”

หรืออาจหมายรวมไปถึง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ที่แม้ลาออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติไปแล้ว แต่สถานะแคนดิเดตนายกฯ ยังคงอยู่ แถมก็ยังถูกพูดถึงในฐานะ “นายกฯ สำรอง” หากเกิดสถานการณ์พิเศษ มาโดยตลอดด้วย

ยิ่งเมื่อเป็นการเขี่ยลูกจาก “40 สว.” ที่ถูกมองว่า มีความใกล้ชิดกับทั้ง “2 ลุง” ก็ยิ่งทำให้ชื่อของ “ประวิตร-ประยุทธ์” ถูกกล่าวถึงอีกครั้ง

โดยเฉพาะรายแรกที่ว่ากันว่า ยังคงฝันที่จะได้ขึ้นเป็นเบอร์ 1 ตึกไทยคู่ฟ้า โดยหวังล้มเก้าอี้ “เศรษฐา” แล้วขึ้นเสียบแทน หลังเคยมีข่าวเนืองๆ มาเมื่อช่วงการลงมติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯ มาหนหนึ่งแล้ว

มาครั้งนี้ชื่อ “ขุนพลบ้านป่า” ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง จนถูกเชื่อไปด้วยว่า “นาย” มีส่วนไม่มากก็น้อย หรืออย่างน้อยก็รู้เห็นแต่ไม่คิดห้ามปราม

ด้วยจังหวะคำร้องถอดถอน “เศรษฐา” จะถูกพิจารณาคู่ขนานไปกับคำร้องยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งกรณีนี้หลัง “หุนซือบ้านป่า” เชื่อว่า โอกาสที่พรรคก้าวไกลจะถูกยุบเป็นไปได้สูง จนมีการต้อน “สส.ก้าวไกล” เข้าบ้านป่า มา “ซื้อใจ” กันล่วงหน้ากันไปแล้ว

หากพรรคก้าวไกลถูกยุบ สมการการเมืองก็ย่อมเปลี่ยนไปพอสมควร โดยเฉพาะที่ สส. 151 เสียงต้องแตกรังหาสังกัดใหม่ หาก “บ้านป่า” สามารถซื้อใจมาได้จำนวนหนึ่ง อำนาจต่อรองก็จะเปลี่ยนไปในทันที โดยเฉพาะหาก “เศรษฐา” ถูกถอดถอนจากตำแหน่งจริง

สิ่งหนึ่งที่ต้องไม่ลืม แม้ว่ารัฐบาลนี้จะเป็นการผสมพันธุ์ข้ามขั้วตาม “ซูเปอร์ดีล” แต่ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่าง “ทักษิณ-พล.อ.ประวิตร” ที่อดีตเคยคุ้นเคยกัน จะยังไม่กลับมาเหมือนเดิม หลังเคยมีวิวาทะข้ามประเทศ กรณี “เกาะโต๊ะ” สมัย “บิ๊กป้อม” จะขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก ช่วงที่ “ทักษิณ” เป็นนายกฯ

ครั้งนั้นทำเอา “ลุงป้อม” หัวฟัดหัวเหวี่ยงไปไม่น้อย

ซึ่งที่ผ่านมาก็มีแค่ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่เอาใจออกห่าง “บ้านป่า” นานแล้ว ไปก้อร่อก้อติก “นายใหญ่เพื่อไทย” เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับ “บิ๊กป้อม” แต่อย่างใด

กลเกมยื่นถอดถอน “นายกฯเศรษฐา” ครั้งนี้ ก็เลยอาจเป็นรายการสางแค้น-ชำระความ ระหว่าง “ลุงป้อม” กับ “นายใหญ่แม้ว” ซึ่งคนที่หนาวๆ ร้อนๆ ก็คงหนีไม่พ้น “ทักษิณ” ด้วยมีวาระใหญ่คือการนำน้องสาว “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กลับบ้านแบบเท่ๆ เพราะเห็นแล้วว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่วาดฝันไว้.


กำลังโหลดความคิดเห็น