ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ป.ป.ช.อุ้ม “โจ๊ก” สุดลิ่ม ทั้งไม่คืนคดี–ไม่เรียกพยานสำคัญคดีตกแต่งบัญชีทรัพย์สินมาสอบ !?
นาทีนี้ ป.ป.ช. องค์กรจะพัง ศรัทธาจะเสื่อมแค่ไหน ก็ดูเหมือน “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ ประธานฯ และ “นิวัติไชย เกษมมงคล” เลขาธิการ ป.ป.ช. ไม่สน
กรณี “พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม” รอง ผบช.น. มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. ขอรับสำนวนการสอบสวนคดีอาญาของ สน.เตาปูน คดีพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กลับไปดำเนินการเอง แต่ป.ป.ช.ก็กอดสำนวนไว้แน่นไม่ยอมคืน โดยอ้างนู้น นี่ นั่น
งานนี้ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ว่า ป.ป.ช.ยุคนี้ต้องการอะไร? ถ้าไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือพวกพ้อง ถ่วงเวลาเพื่อช่วยเหลือ “โจ๊ก”
ขณะเดียวกันย่อมตอกย้ำว่า “โจ๊ก” คือ ผู้มากบารมีในป.ป.ช.ตัวจริง จะขอ พล.ต.อ.วัชรพล ประธาน และ นิวัติไชย เลขาธิการ ป.ป.ช. ทำอะไรให้ อยากให้สำนวนคดีอยู่กับป.ป.ช. ก็ได้สมปรารถนา
รวมไปถึงคดีที่มีเจ้าหน้าที่ป.ป.ช. กระทำการทุจริต ช่วยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตกแต่งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
กรณีนี้ “พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์” ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ บก.ปปป. ได้ทำหนังสือลงวันที่ 7 พ.ค.67 ไปถึง เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. คือ “นิวัติไชย เกษมมงคล” ขอให้สืบพยานล่วงหน้าก่อนฟ้องคดี
หนังสือระบุว่า ตามที่ บก.ปปป.ได้ส่งเรื่องกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ในสำนักงานป.ป.ช. กระทำความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”
และมีข้าราชการตำรวจระดับสูง ซึ่งหมายถึง “โจ๊กและพวก” ร่วมกันกระทำความผิดฐาน “สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐกระทำความผิด” ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. รับเรื่องไว้แล้ว ตามเลขรับที่ 12007 ลงวันที่ 5 เม.ย.67
ขอให้ทาง ป.ป.ช. ยื่นคำร้องต่อศาล ขอสืบพยานล่วงหน้า คือ “นายสมพร กุลวานิช” ข้าราชการบำนาญ ในฐานะพยาน ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในคดีนี้
เหตุที่ บก.ปปป. ต้องการให้มีการสืบพยานปากนี้ล่วงหน้า เพราะ อดีตผู้ว่าฯสมพร มีอายุมากแล้ว เกรงจะยากต่อการนำมาสืบพยานในภายหลัง
“โปรดพิจารณายื่นคำร้องต่อศาล ให้มีการสืบพยานหลักฐานล่วงหน้า เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายทางคดีในภายหลัง” หนังสือระบุ ในตอนท้าย
ปรากฏว่า หนังสือร้องขอจาก ผบก.ปปป. มีไปตั้งแต่ วันที่ 7 พ.ค. 67 ผ่านไปนานนับเดือนแล้ว ป.ป.ช.กลับเงียบ ไม่ตอบสนองใดๆ กับหนังสือของตำรวจ!
พฤติการณ์นี้ของป.ป.ช.ย่อมมีเจตนาจะลากถ่วงเวลา เพราะรู้ดีว่า พยานปากนี้ชี้เป็นชี้ตายสำคัญต่อคดีเอาผิดคนที่เกี่ยวข้องได้
อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้เสียหา ที่ถูกแก๊งตกแต่งบัญชีช่วยโจ๊ก เอ่ยอ้างสร้างสตอรี่ให้ “เฮียอั๊ง เมืองชล” เซียนพระชื่อดังไปซื้อพระเครื่องจำนวนมากโดยคำแนะนำของ “โจ๊ก”
ถ้าจำกันได้ความพิลึกจนกลายเป็นข้อพิรุธทำไม่เนียนของขบวนการนี้ก็คือ “โจ๊ก” ได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายพระเครื่อง ระหว่าง “เฮียอั๊ง เมืองชล” กับ “สมพร”เป็นเงินถึง 13 ล้านบาท แล้วนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อปืนสะสมไว้ 200 กว่ากระบอก
แต่ “ความจริงมีหนึ่งเดียว” พอพนักงานสอบสวนสอบปากคำ “สมพร กุลวานิช” ขบวนการโจ๊ก ก็โป๊ะแตก เมื่ออดีตผู้ว่าฯยืนยันขายพระเครื่องให้ “เฮียอั๊ง เมืองชล” ไปแค่ 10,000 บาท และไม่เคยรู้จักกับโจ๊ก เป็นการส่วนตัวมาก่อน
นี่ถือความจริงที่เมื่อช้างตายทั้งตัว ป.ป.ช.พยายามจะเอาใบบัวมาปิดก็ปิดไม่มิด
ที่ทำได้ตอนนี้ คือ ยื้อเวลาช่วยเหลือคนในป.ป.ช. ที่ร่วมกันทำทุจริตช่วย “โจ๊ก”ตกแต่งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ
ความผิดสำเร็จเกิดขึ้นแล้วหากดำเนินคดีไปตามที่ตำรวจขอมา เชื่อได้ว่า จะมีคนติดคุกติดตะรางกันเป็นแถบ รวมถึงตัวโจ๊กด้วย
นี่เป็นวิกฤตของป.ป.ช.ที่ “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ” ประธาน และ “นิวัติไชย เกษมมงคล” เลขาธิการ ป.ป.ช. ยอมให้เกิดขึ้นในป.ป.ช.เพียงเพราะช่วย “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” คนเดียว
โบราณว่า ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน อำนาจบารมีมาแล้วก็จากไป อีกไม่กี่เดือนทั้ง “พล.ต.อ.วัชรพล-นิวัติไชย” จะเกษียณไปจากป.ป.ช. จะมีอาการเสียวสันหลังจากสิ่งที่ทำตามหลังมา หรือไม่ ? น่าสนใจติดตามยิ่ง
** ปากกล้า ขาสั่น!! “พิธา” ฟุ้งสื่อนอก ถ้ายุบก้าวไกล จะยิ่งโตเหมือนติดเทอร์โบ
หลังจากพรรคก้าวไกล ขอยืดเวลาส่งคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ มา 3 รอบ ในคดีที่ กกต.มีคำร้องขอให้ยุบพรรค จากพฤติการณ์ ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการ อันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ถึงวันนี้ พรรคก้าวไกล ได้ส่งคำชี้แจงไปเรียบร้อยแล้ว และเตรียมตั้งโต๊ะแถลงถึงแนวทางการต่อสู้ และรายละเอียดที่ได้ชี้แจงต่อศาลฯ ในวันที่ 9 มิ.ย.นี้
ขณะที่ทางศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อรับเอกสารชี้แจงแก้ข้อกล่าวหามาแล้ว ก็ได้กำหนดนัดประชุมเพื่อพิจารณานัดแรก ในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ พร้อมเตือนไปยังพรรคก้าวไกล ที่จะแถลงใหญ่ในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ว่า ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย คู่กรณีไม่สมควรแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคดี ที่เป็นการชี้นำสังคม อันอาจกระทบต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลฯได้
เรื่องนี้ “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล บอกว่าเนื้อหา สาระที่จะแถลงนั้น จะเป็นการบอกถึงแนวทางทางการสู้คดี รวมทั้งเอกสารหลักฐานที่ได้ยื่นต่อศาลฯไป ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการจะไปกดดันศาลฯ หรือชี้นำสังคมในทางใดทางหนึ่งแต่อย่างใด
ส่วนที่ศาลฯ บอกว่าจะประชุมเพื่อพิจารณาในวันที่ 12 มิ.ย. นั้น แค่เป็นเพียงการนัดประชุม เพื่อถกกันว่า แนวทางในการวินิจฉัยคดี จะเป็นเช่นไร ดังนั้นในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ เราจะเห็นถึงความชัดเจนมากขึ้น ถึงขั้นตอน และกรอบเวลาของการพิจารณาในเรื่องนี้
ไม่ใช่เป็นการอ่านคำวินิจฉัยเพื่อชี้ถูก ชี้ผิดในวันที่ 12 มิ.ย.นี้
ขณะที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลที่เป็น “คนต้นเรื่อง” ของคดีนี้ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อนอก “ไฟแนนเชียล ไทมส์” ถึงสถานการณ์การเมืองไทย โดยเฉพาะคดียุบพรรคก้าวไกล ด้วยข้อหาล้มล้างการปกครอง จากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ว่า...
เชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาและวินิจฉัยอย่างเป็นธรรม ซึ่งการกล่าวหาตน และพรรคก้าวไกล ว่าเป็น “กบฏ” หรือผู้ทรยศที่มุ่งล้มล้างการปกครองนั้น เป็นการกล่าวหาที่เกินจริง เพราะสิ่งที่ตนเอง และพรรคก้าวไกล นำเสนอ คือ ความสมดุลทางกฎหมาย ระหว่างการคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ กับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น
การเสนอแก้ไขมาตรา 112 ไม่ได้มุ่งล้มล้าง!!
“พิธา” ยังเชื่อว่า หากถึงที่สุดแล้วพรรคก้าวไกลถูกยุบ ก็จะแค่อ่อนแรงลงในระยะสั้นเท่านั้น ขณะเดียวกันก็จะเป็นการ “ติดเทอร์โบ” ให้พรรคได้แต้มต่อ ในแนวคิด และนโยบายแบบก้าวหน้าในระยะยาว ซึ่งจะเห็นผลในการเลือกตั้งครั้งหน้า พร้อมยกตัวอย่าง ที่ก่อนหน้านั้น “พรรคอนาคตใหม่” ถูกยุบ เมื่อปี 2563 พลังของพรรคก็อ่อนแอลงชั่วคราว แต่ก็สามารถกลับมาฟื้นคืนแบบ “ติดเทอร์โบ”ได้ ในการเลือกตั้งปี 2566 โดยพรรคก้าวไกล ชนะเลือกตั้ง ได้เก้าอี้ในสภาฯมาครองถึง151 ที่นั่ง จากเดิมที่พรรคอนาคตใหม่ ในปี 2562 ได้ 81 ที่นั่ง
ช่วงที่ พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ กรรมการบริหารพรรคระดับนำ อย่าง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ - ปิยบุตร แสงกนกนกุล -พรรณิการ์ วานิช” ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ต้องไปเคลื่อนไหวในนามกลุ่มก้าวหน้า จึงเป็นภารกิจของ “แกนนำแถว 2 ” ขึ้นมานำพรรค
หากพรรคก้าวไกลถูกยุบ กรรมการบริหารพรรค ในช่วงที่มีการเสนอแก้ ม.112 ที่จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง อาทิ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรค “ชัยธวัช ตุลาธน” เลขาธิการพรรค “อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล”... “เบญจา แสงจันทร์”... “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” เป็นต้น
และเมื่อมีการตั้งพรรคใหม่ไว้รองรับ คราวนี้ก็ถึงคิว “แกนนำแถว 3” อย่าง “พริษฐ์ วัชรสินธุ”.. “รังสิมันต์ โรม” .. “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” .. “ศิริกัญญา ตันสกุล”.. “ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์”.. “ณัฐวุฒิ บัวประทุม” ที่จะขึ้นมารับช่วงต่อ
พลังของคนเหล่านี้จะนำพรรคให้พุ่งเหมือนติดเทอร์โบ จะสร้างกระแส “ฟีเวอร์” ได้เท่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ในช่วงเลือกตั้งปี 2566 หรือไม่ ยังไม่สามารถบอกได้ในวันนี้
เพราะการเลือกตั้งใหญ่ในแต่ละครั้ง มีปัจจัย องค์ประกอบ และกระแส ที่สามารถพลิกผันเพียงชั่วข้ามคืน