xs
xsm
sm
md
lg

ตรรกะของลิ่วล้อผู้ซื่อสัตย์ บอก“ทักษิณ”ถูกฟ้อง 112 เป็นผลพวงรัฐประหาร วัดใจดัน กม.นิรโทษฯเหมาเข่ง!! ** คุณพระช่วย "เอ๋-ปารีณา"!! ถึงคราวเอาคืน ป.ป.ช.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - ชูศักดิ์ ศิรินิล – ปารีณา ไกรคุปต์ - พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ
ข่าวปนคน คนนปนข่าว



** ตรรกะของลิ่วล้อผู้ซื่อสัตย์ บอก“ทักษิณ”ถูกฟ้อง 112 เป็นผลพวงรัฐประหาร วัดใจดัน กม.นิรโทษฯเหมาเข่ง!!
เมื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”ถูกอัยการสูงสุด สั่งฟ้องในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทำให้อุณหภูมิการเมืองเริ่มร้อนแรงขึ้นมาทันที

ขณะเดียวกัน สปอตไลต์ก็ฉายจับไปที่ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ. นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มี “ชูศักดิ์ ศิรินิล” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ขึ้นมาทันที ว่าจะกำหนดกรอบกฎหมายนี้ ไปกว้างแค่ไหน

ก่อนหน้านี้ กรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล พยายามที่จะเสนอให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ครอบคลุมไปถึง ความผิดตาม มาตรา 112 ด้วย เพราะเห็นว่าเป็นคดีที่มีมูลเหตุ แรงจูงใจ เกี่ยวพันทางการเมือง

ที่สำคัญคือ บรรดาแกนนำพรรคก้าวไกล รวมทั้งเครือข่ายที่เคลื่อนไหวสนับสนุนอยู่นอกสภาฯ ต่างถูกดำเนินคดี มาตรา 112 กันมากมาย บางคนทำผิดซ้ำซาก คดียาวเป็นหางว่าว

แต่กรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นเสียงข้างมาก แสดงออกมาตลอดว่า “ไม่เห็นด้วย” โดยให้เหตุผลว่า มันจะเป็นปัญหาที่สร้างความขัดแย้งเพิ่มเติมขึ้นมาอีก !!

วันนี้ เมื่อ“ทักษิณ” ติดบ่วง 112 เปรียบเสมือนมี “ปลอกคอ” พร้อมสายจูงมาคล้องไว้ ท่าทีของกรรมาธิการในส่วนของพรรคเพื่อไทย ก็เริ่มเปลี่ยนไป

อย่างเช่น “สมคิด เชื้อคง” คนของพรรคเพื่อไทย ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ชุดนี้ ก็ออกมาพูดเสียงอ่อย ยอมรับว่ากำลังถูกกจับตา และคาดคั้นให้พรรคเพื่อไทยต้องพูดว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งตนคงบอกได้แค่ว่า...

เรื่องรวมนิรโทษฯ 112 พรรคเพื่อไทยจะไม่เสนอ แต่จะไม่ขัดขวาง !!

ขณะที่ “ชูศักดิ์ ศิรินิล” ในฐานะประธาน กมธ.วิสามัญฯ บอกว่า การนิรโทษกรรม คดีความผิดตามมาตรา 112 ยังไม่มีข้อยุติ อยู่ระหว่างการศึกษาว่า จะมีการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองคดีนิรโทษกรรม หรือไม่

แต่โดยส่วนตัวเห็นว่า คดี 112 ของ “ทักษิณ ชินวัตร” เกิดขึ้นภายหลังจากการรัฐประหาร ปี 2557 โดยทางกองทัพบกได้แจ้งความในปี 2558 จึงมีคำถามตามมาว่า... คดีนี้เป็นผลพวงจากการรัฐประหารหรือไม่ หรือเป็นคดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง หรือไม่

“คดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ก็คือม็อบทั้งหลายที่มีการชุมนุมกันที่ผ่านมา ทั้ง นปก.- นปช. -กปปส. มุ่งไปที่จุดไหน แต่คดีของ “ทักษิณ” นั้นแน่นอนว่าเป็นผลพวงจากการรัฐประหาร มันเป็นคดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง หรือไม่ เราก็ต้องมาชี้กัน มาคุยกันในคณะอนุกรรมาธิการ ว่าเข้าข่ายหรือไม่”

“...เรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับ กมธ.ตัดสินใจ ถ้าไม่เอา มาตรา 112 ก็ตกไปเลย แต่ถ้าเอามาตรา 112 ด้วย ก็ต้องนำมาพิจารณาว่าจะรวมหรือไม่รวม แต่ผมยังคิดว่ากรณีของทักษิณ ไม่น่าไปกระทบอะไร เพราะถ้าเราไปแยกเรื่องนั้นที เรื่องนี้ที ทั้งๆที่อยู่ในมาตราเดียวกัน คิดว่าจะเป็นการเลือกปฏิบัติ...”

ท่าทีของ “ชูศักดิ์ ศิรินิล”ตอนนี้ เหมือนกำลังบอกว่า เห็นด้วยกับการรวมคดี112 เข้าไปอยู่ในข่ายที่จะได้รับนิรโทษกรรมด้วย
ขณะที่ “ชัยธวัช ตุลาธน” สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะหนึ่งใน กมธ.วิสามัญชุดนี้ ยอมรับว่า เมื่อ “ทักษิณ” โดนสั่งฟ้องในคดี 112 ย่อมมีผลกระทบต่อการขับเคลื่อน กม.นิรโทษกรรม ในลักษณะที่เป็นปัญหาทางการเมืองแน่นอน เพียงแต่ว่าจะออกหน้าไหน

ก่อนหน้านี้ มีการคาดหมายกันว่า ในการประชุม กมธ.วิสามัญ วันที่ 30 พ.ค. อาจจะมีการเคาะว่า กฎหมายนิรโทษกรรม จะรวมเอาคดี 112 ไว้ด้วยหรือไม่

แต่เมื่อกำลังเป็นประเด็นที่อ่อนไหว เรื่องนี้จึงยังไม่ได้บรรจุให้อยู่ในวาระการพิจารณา แม้แต่เรื่องคณะกรรมการกลั่นกรองคดีที่ได้นิรโทษกรรม และนิยามของคำว่า “แรงจูงใจทางการเมือง” พิจารณากันกว่า 3 ชั่วโมง ยังไม่ได้ข้อยุติ ต้องรอประชุมครั้งหน้า
หากจะว่ากันตามข้อเท็จจริงแล้วการออก “กฎหมายนิรโทษกรรม” ก็คือการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างหนึ่ง โดยผ่านอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ และสามารถทำได้ ถ้ามีเสียงข้างมากในสภาให้การสนับสนุน

แต่ต้องไม่ลืมว่า ที่ผ่านมาเคยมีบทเรียนมาแล้ว ที่ฝ่ายเสียงข้างมาก ลุแก่อำนาจ ลักหลับ ออกกฎหมาย “นิรโทษกรรมสุดซอย” จนนำไปสู่วิกฤตทางการเมืองถึงขั้นรัฐบาลพัง

หากครั้งนี้จะมีการออกกฎหมาย “นิรโทษกรรมเหมาเข่ง” โดยรวมเอาความผิดตามมาตรา 112 ไว้ด้วย เพียงเพื่อคนบางคน ประวัติศาสตร์การเมืองก็อาจซ้ำรอยได้

** คุณพระช่วย "เอ๋-ปารีณา"!! ถึงคราวเอาคืน ป.ป.ช.

ถือเป็นบทพิสูจน์การทำงานของป.ป.ช. ยุค “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ได้อีกคดีหนึ่ง ที่"คนนินทา หมาดูถูก" ว่า หามาตรฐานไม่ได้นั้นเป็นเช่นไร

ล่าสุด คดีชี้มูลความผิด "เอ๋" ปารีณา ไกรคุปต์ อดีตดาวสภา ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกศาลตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ว่า จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ

ใครๆก็คิดว่า ออกจากป.ป.ช. ต้องเสร็จแน่ๆ แต่...สุดท้ายคดีพลิก! “เอ๋-ปารีณา” พ้นข้อกล่าวหาทุกกรณี

เมื่อศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษา คดี อม.อธ. 10/2566 ชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ มีมติเสียงข้างมาก ยกคำร้อง ป.ป.ช.

พลิกดูรายละเอียดการหลุดพ้นข้อกล่าวหาของป.ป.ช. ของ เอ๋-ปารีณา

ประการแรก กรณีเงินให้กู้ยืมนาย ป. พบว่า นาย ป. ยอมรับว่า เอ๋-ปารีณา ให้เงินสนับสนุนในการหาเสียงเลือกตั้งเเละทำสัญญากู้ยืม ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือแบบให้เปล่า ไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าสัญญาเงินกู้ดังกล่าวเป็นเอกสารสิทธิปลอม หรือมีการสมคบกันทำสัญญาเงินกู้ขึ้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

กรณีนี้ จึงฟังไม่ได้ว่า “ปารีณา” ผู้ถูกกล่าวหาจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริง

ประการต่อมา กรณีรายการ "พระเครื่อง" ที่มีทั้ง พระสมเด็จบางขุนพรหม พิมพ์เส้นด้าย และ พระสมเด็จนางพญาพิษณุโลก พิมพ์อกนูนใหญ่นั้น เห็นว่า เมื่อเปรียบเทียบพระเครื่องที่ระบุในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กับที่ “เอ๋-ปารีณา” นำมาแสดงมีลักษณะและรูปทรงเดียวกัน

ข้อนี้อดีตดาวสภา ยืนยันตั้งแต่ชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช. ว่า พระเครื่องทั้งสององค์ที่ระบุในบัญชีนั้น เป็นพระเครื่องที่ "นาย อ" อดีตสามี มอบให้ระหว่างสมรส โดยแจ้งว่าเป็นพระเครื่องใด กับแจ้งราคาให้ทราบ

ส่วน "กรอบพระเครื่อง" แม้มีความแตกต่างกัน แต่ตามบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบมุ่งเน้นการแสดงทรัพย์สินในส่วนองค์พระเป็นสำคัญ

การที่กรอบพระเครื่องซึ่งแตกต่างกัน มิใช่สิ่งยืนยันแน่ชัดว่า “ปารีณา”ผู้ถูกกล่าวหาต้องรู้ว่า พระเครื่องที่อยู่ในกรอบนั้น เป็นคนละองค์กัน!

พฤติการณ์แห่งคดี จึงฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาแสดงรายการพระเครื่องไม่ตรงกับที่มีอยู่จริง และระบุราคาสูงกว่าความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น พิพากษายกคำร้อง!

เรียกว่า “เอ๋-ปารีณา” ได้คุณพระช่วยให้รอดของแทร่

ฟังว่า “เอ๋-ปารีณา” หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ยังมีข้อบกพร่องของกระบวนการยุติธรรม และเรื่องขององค์กรอิสระ ที่ไม่มีความเป็นอิสระ มีการใช้หน้าที่เกินขอบเขตของกฎหมาย

โชคดีที่ประชาชนยังมีที่พึ่งหวัง คือศาลฎีกาที่สามารถใช้ต่อสู้คดี เพื่อหาความยุติธรรม

แน่นอนว่า งานนี้ได้เวลาเอาคืนป.ป.ช. โดยเจ้าตัวลั่นวาจา จะฟ้องกลับอย่างแน่นอน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้กับผู้อื่น
“ปารีณา” ยังเผยด้วยว่า ก่อนที่จะถูกป.ป.ช. ชี้มูล ทนายความตนได้ทำหนังสือไปค้าน และขอยื่นอุทธรณ์แล้ว ว่าการกระทำดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย แต่ป.ป.ช. ยังคงเดินหน้าชี้มูลความผิด

นี่ต้องบอกว่า ป.ป.ช.เตรียมตัวรับพายุไซโคลนจาก "เอ๋-ปารีณา" ไว้ได้เลย พะยี่ห้อนี้ การันตีเอาคืนทบต้นทบดอก บอกเลย.


กำลังโหลดความคิดเห็น