ข่าวปนคน คนปนข่าว
**“โจ๊กและพวก” จะลากป.ป.ช.ผิดกฎหมายตาม ดึงสำนวน "ภาคภูมิ" คืนทำไม่ได้ แถมรูปคดีเสียหายเปิดช่องผู้ต้องหา!
ว่าด้วยที่สำนักงาน ป.ป.ช. จะขอสำนวนการสอบสวนคดีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ จากพนักงานสอบสวนไปดำเนินการเองด้วยมติ 4:1
สำนวนนี้เเบ่งเป็นสองส่วน คือ ส่วนเเรกตำรวจเเละประชาชน รวม 61 คน โดยมี 8 ตำรวจ ที่เป็นลูกน้อง “โจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. รวมอยู่ด้วย ซึ่งความคืบหน้าได้สั่งฟ้องไปเเล้วเป็นส่วนใหญ่ เเละบางส่วนมีการขยายผลเพิ่มเติม จนพบหลักฐานในส่วนที่สองที่ มี รอง ผบ.ตร. เเละ พวกรวม 5 นาย เพิ่มเติมเข้ามาอีกคดี
ฟังว่าในการลงมติวันนั้น ป.ป.ช. คนนั่งหัวโต๊ะ มีบทบาทอย่างมากที่ต้องการให้ป.ป.ช.เรียกสำนวนคดี “โจ๊กและพวก”มาทำเองหมด โดยยกเหตุผลอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.
พูดอีกก็ถูกอีก แต่จะถูกตามหลักกฎหมายหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง!
อย่าลืมว่า ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมไม่ได้มีแค่ ป.ป.ช แต่ยังมีพนักงานสอบสวนของตำรวจ และ อัยการอีก
งานนี้ มีสัญญาณจากสำนักอัยการสูงสุด สะกิดเตือนสติ ป.ป.ช. ว่า หากอธิบายหลักการทางกฎหมายนั้น พบว่า ตามที่ ป.ป.ช. มีมติ เมื่อวันที่ 4 มี.ค.67 ว่าจะนำสำนวนส่วนเเรกที่มี “พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิสมัย” กับพวก ไปสอบสวนรวมกับส่วนที่สอง ที่ระบุถึง “ โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” รอง ผบ.ตร. กับพวก ตรงนี้จะทำให้เกิดความเสียหายต่อคดี และจะเป็นข้อต่อสู้ของผู้ต้องหาได้ เพราะคดีนี้พนักงานสอบสวน ทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว
ช้าๆ ชัดๆ ป.ป.ช.จะติดบ่วงกฎหมายเอาได้ นะครับนะ!!
เพราะอะไร ก็เพราะมติให้เรียกคืนสำนวนคดีของ “พ.ต.อ.ภาคภูมิ” กับพวกนั้น พบว่าคดีนี้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว และพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบทำความเห็นแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา140 และนำสำนวนการสอบสวน ส่งถึงอัยการเเล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาและอัยการสั่งสอบสวนเพิ่มเติม
เพราะฉะนั้น ป.ป.ช.จะดึงสำนวนกลับไม่ได้!! ด้วยคดีสอบสวนเสร็จแล้ว แต่ถ้าหากอยู่ระหว่างสอบสวน ป.ป.ช. จะเอาคืนได้หรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ มีได้เพียงคนเดียว
แว่วว่างานนี้ บอร์ดป.ป.ช.เสียงข้างมาก อาจจะมีเสียวสันหลัง เพราะมีคนทนไม่ได้กับพวกมากลากไป ไม่ดูหลักกฎหมายให้รอบคอบ อาจมีแจ้งความร้องทุกข์แน่ๆ
แน่นอนอีกเช่นกันว่า “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์และพวก” กำลังลากป.ป.ช.เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางไปด้วย
คุ้มหรือ!?กับการเอาองค์กรทั้งองค์กร ช่วยเหลือคนๆ เดียว เดี๋ยวก็รู้!!
**เหตุจาก“หมออ๋อง” บุกทำเนียบฯ ทำสภาเดือด ดรามา สส.รุ่นเก่า รุ่นใหม่ และไอ้หนู
กรณี “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา ประธานสภาผู้แทนราษฎร นั่งรถประจำตำแหน่ง บุกไปที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อทวงถามร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน 31 ฉบับ ที่ยังรอให้ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ลงนาม ก่อนส่งกลับมาเข้าสู่การพิจารณาของสภา
“หมออ๋อง” มองว่าทางฝ่ายรัฐบาลมีเจตนา “ดองกฎหมาย” เพราะหลายฉบับส่งไปนานประมาณ 6 เดือนแล้ว นายกฯก็ยังไม่เซ็น โดยเฉพาะร่าง กฎหมายที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล อาทิ ร่าง พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ. ... ร่าง พ.ร.บ.ยกเลิก พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 พ.ศ. ... ร่าง พ.ร.บ.ปาล์มน้ำมันและผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ำมัน พ.ศ. .... ร่าง พ.ร.บ.ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. .... เป็นต้น
“หมออ๋อง” ประกาศลั่นว่า ฝ่ายนิติบัญญัติ ต้องไม่อยู่ใต้อาณัติของฝ่ายบริหาร ซึ่งก็คือรัฐบาล เพราะได้ส่งเรื่องไปทวงถามสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีหลายรอบแล้ว ว่าติดขัดที่ตรงไหน แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ จึงต้องเดินทางมาด้วยตัวเอง
การบุกไปทำเนียบฯคราวนั้น ทำให้บรรดา สส.พรรคเพื่อไทย เรียงหน้ากันออกมาโวยว่า เป็นการกระทำที่ไร้มายาท ทำเกินหน้าที่... ฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่ควรมารุกล้ำอำนาจฝ่ายบริหาร โดยเฉพาะคนที่เป็นรองประธานสภาฯ ควรวางตัวเป็นกลาง ไม่ใช่ลงมาจากบัลลังก์ประธานฯ แล้วมาสวมหมวกพรรคก้าวไกล ทำตัวเป็นฝ่ายค้าน
ขนาด “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ยังออกปากว่า มันไม่ใช่ธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติกันมา ที่ฝ่ายนิติบัญญัติ จะมากดดันฝ่ายบริหาร ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีประธาน หรือ รองประธานสภาฯ จะบุกมาถึงทำเนียบรัฐบาล เพื่อทวงร่างกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
แต่ ร่างกฎหมายที่สำคัญโดยเฉพาะกฎหมายการเงิน ต้องได้รับการพิจารณาจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าทำได้หรือไม่ หากทำไม่ได้ นายกรัฐมนตรีก็ไม่ลงนามรับรอง ตรงนี้ถือเป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร !!
หลังจากปะทะคารมผ่านสื่อกันพอหอมปากหอมคอ ดูเหมือนเรื่องทำท่าจะเงียบไป แต่ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวานนี้ (6มี.ค.) กลับร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อ “ไชยวัฒนา ติณรัตน์” สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ขอหารือกับประธานในที่ประชุม ถึงการทำหน้าที่ของ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ ที่ทำเกินอำนาจหน้าที่ บุกไปทำเนียบรัฐบาล ก้าวล่วงฝ่ายบริหาร จึงขอให้บันทึกว่า ตนไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมดังกล่าว
ขณะที่“ธีระชัย แสนแก้ว” สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายเรียกร้องเรียกร้องให้ “ปดิพัทธ์” ลาออก เพราะทำให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรี รัฐสภา
ระหว่างนี้ก็มี สส.พรรคก้าวไกล ประท้วงเป็นระยะ ทำเอาบรรยากาศมรที่ประชุมเริ่มร้อนแรง
ต่อมา “หมออ๋อง” ก็เข้ามาทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม และถือโอกาสชี้แจงถึงเรื่องนี้ว่า การไปทำเนียบฯ ไม่ได้บุกไป แต่มีการแจ้งล่วงหน้าไปก่อนแล้ว เพื่อต้องการขอเยี่ยมชมการทำงานเพื่อความโปร่งใส แต่ทางรองเลขานายกฯ ส่งหนังสือกลับมาว่า ไม่ต้องเดินทางไป เพราะจะมาชี้แจงเอง แต่ตนเองมองว่า ต้องปกป้องเพื่อนสมาชิก เพราะร่างกฎหมาย เป็นของหลายพรรคการเมือง จึงตัดสินใจเดินทางไปที่ทำเนียบฯ โดยให้เลขาฯ และตำรวจประสานงานกันก่อนในช่วงเช้า
“แต่พอไปถึง ก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างที่ประสานงานไว้ เพราะฉะนั้น ภาพอาจจะดูทุลักทุเลไปสักนิด แต่ผมยืนยันว่าเป็นการเข้าพบโดยกระบวนการที่ถูกต้อง และมีการประสานงานล่วงหน้า ไม่ได้เป็นการบุก ไม่ได้ไปก้าวล่วง หรือล้ำเข้าไปในการตัดสินใจของนายกฯ จึงอยากเรียนข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง กับสมาชิกดังนี้ครับ”
การชี้แจงของ “หมออ๋อง” ทำให้ “ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม” สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายว่าเชิงในตั้งคำถามว่า
การที่รองประธานสภาฯ ไปทำเนียบฯ เป็นหน้าที่ตามข้อบังคับใด และ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ได้มอบหมายหรือไม่ จึงอยากทราบเจตนา อีกทั้งไม่เชื่อว่า รองประธานสภาฯ จะไม่อ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับ โดยเฉพาะ ม.133 ที่กำหนดไว้ชัดเจน ว่าคนที่จะบังคับใช้กฎหมาย คือ คณะรัฐมนตรี และคนที่รับผิดชอบคือ นายกรัฐมนตรี ทำให้มี สส.พรรคก้าวไกลประท้วง แต่ “ปดิพัทธ์” ขออย่าประท้วง ทำให้ “ครูมานิตย์” กล่าวว่า “อย่าประท้วงเลย เอาความจริงมาพูด นั่งเถอะไอ้หนู นั่งเถอะๆ”
เมื่อ “ครูมานิตย์” พูดเช่นนั้น ทำให้ “ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ” สส.ระยอง พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วง ขอให้ประธานควบคุมการประชุมให้อยู่ในระเบียบวาระ พร้อมอ้างว่า “ครูมานิตย์” ได้พาดพิงหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ขึ้นถึงคำว่า “ไอ้...” จึงขอให้ถอนคำพูด เพราะเห็นว่าเป็นการไม่สมควร
ขณะที่ “รังสิมันต์ โรม” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวโต้ตอบ “ครูมานิตย์” ว่าเป็นสส.หลายสมัย ใช้คำว่า “ไอ้หนู” กับเพื่อนสมาชิกในห้องนี้ได้อย่างไร เพราะตนเองก็ให้ความเคารพ “ครูมานิตย์” มานาน แต่การใช้คำว่าไอ้หนูแบบนี้ ถือว่าไม่เคารพกัน
“จะสส. 1 สมัย 5 สมัย 10 สมัย เราเท่ากัน จะมาใช้คำพูดหยาบคายแบบนี้ เพื่อด้อยค่าเรื่องของคุณวุฒินั้นไม่ได้ จึงขอให้ประธานสั่งให้ “ครูมานิตย์ ถอนคำพูด” ซึ่ง “ครูมานิตย์” ก็ยินดีที่จะถอนคำพูด พร้อมกล่าวขออภัย เรื่องจึงได้สงบลง
สุดท้าย “หมออ๋อง”ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ตนเองได้รับมอบหมายจากประธานสภาฯ ให้ดูแลเรื่อง กิจการสภา การตรากฎหมาย และการบรรจุกฎหมาย จึงอยากให้ให้กฎหมายของทุกคน ได้รับการพิจารณาอย่างเท่าเทียมกัน