“ทักษิณ -เศรษฐา ” โดนชนักปักหลังทั้งคู่ จับตาการเมืองถึงจุดเปลี่ยน ?! ** 10 เต็ม10 “เบลล่า ราณี” พูดดีโดนใจ

ข่าวปนคน คนปนข่าว

** “ทักษิณ -เศรษฐา ” โดนชนักปักหลังทั้งคู่ จับตาการเมืองถึงจุดเปลี่ยน ?!

หลังจากที่ลุ้นกันว่า อัยการสูงสุด จะสั่งฟ้อง หรือไม่ฟ้อง ในคดีที่ "ทักษิณ ชินวัตร " ถูกแจ้งความดำเนินคดีอาญา ตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่เกาหลีใต้ เมื่อปี 2558

และในที่สุดอัยการสูงสุดก็ “สั่งฟ้อง” ไปเรียบร้อย เพียงแต่ยังไม่ได้นำตัวส่งฟ้องศาลเท่านั้น เนื่องจาก “ทักษิณ” ให้ทนายความไปขอเลื่อนนัดไปเป็นวันที่ 25 มิ.ย.67 โดยแจ้งว่าติดเชื้อโควิด มีใบรับรองแพทย์ยืนยัน แต่อัยการสูงสุดก็ยังคงสั่งคดี และให้ทีมโฆษกฯ ออกมาแถลง พร้อมนัดนำตัวส่งฟ้องศาลในวันที่ 18 มิ.ย.67

ความจริง คดีนี้อัยการสูงสุดคนก่อน "ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร" เคยสั่งฟ้องไปแล้ว ตั้งแต่ 19 ก.ย. 59 แต่ตอนนั้น “ทักษิณ” ยังหนีอยู่นอกประเทศ จึงได้แต่ขอออกหมายจับไว้รอ

เมื่อ“ทักษิณ” กลับเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม ตามที่เชื่อกันว่ามี “ดีลลับ” กับขั้วอำนาจเก่า ฝ่ายอนุรักษ์นิยม จนได้เป็น "นักโทษเทวดาชั้น 14 " ระหว่างนั้นทางพนักงานสอบสวน ก็ไปอายัดตัวไว้กับกรมราชทัณฑ์แล้ว

ก่อนลงจากชั้น 14 “ทักษิณ” ได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมทำหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับ “อํานาจ เจตน์เจริญรักษ์” อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน จนมีการเลื่อนฟังคำสั่งคดีมาครั้งหนึ่งแล้ว ด้วยเหตุผลสำนวนคดียังไม่สมบูรณ์ และนัดฟังคำสั่งคดีครั้งที่ 2 ในวันที่ 29 พ.ค.67

ขณะเดียวกัน สังคมก็จับจ้องว่า เมื่ออัยการสูงสุดคนก่อน สั่งฟ้องไปแล้ว มาถึงวันนี้ วันที่ “ระบอบทักษิณ” ฟื้นคืนชีพ อัยการสูงสุดคนปัจจุบัน จะสั่งฟ้องหรือไม่... ถ้าสั่งฟ้อง ก็คงไม่มีดรามาอะไรมากนัก ถือว่าอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน แต่ถ้าสั่งไม่ฟ้อง เชื่อว่าจะมีคำถามตามมาแน่ ว่าเป็นด้วยเหตุใด หรือเพราะทักษิณเป็น “เทวดา”

ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมา ไม่เพียง “ทักษิณ” ที่รู้สึกกดดัน แต่อัยการสูงสุด รวมทั้งองค์กรอัยการ ก็รู้สึกกดดันไม่แพ้กัน

ว่ากันว่า ในสถานการณ์หน้าสิ่ว หน้าขวาน ที่ถูกสังคมจับจ้องเช่นนี้ อัยการสูงสุดมักจะเลือกแนวทางที่ตัวเองรอดปลอดภัยไว้ก่อน นั่นคือ สั่งฟ้องคดีไปก่อน ส่วนผิด-ถูกให้ไปว่ากันในศาล !!

และดูเหมือน “ทักษิณ” เองก็พอจะรู้ว่าอัยการสูงสุด จะตัดสินใจออกหน้าไหน จึงส่งทนาย พร้อมใบรับรองแพทย์ ว่าป่วย ติดเชื้อโควิด ไปขอเลื่อนการสั่งคดี หวังยื้อเวลาไว้ก่อน

เพราะจะเป็นการเสี่ยงมากถ้า “ทักษิณ” ไปฟังการสั่งคดีแล้ว อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง ก็จะกลายเป็นผู้ต้องหาทันที ต้องถูกควบคุมตัว ต้องทำเรื่องประกันตัว ซึ่งสุดท้ายไม่รู้ว่าจะจบลงอย่างไร

ต้องไม่ลืมว่า มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย ที่ต้องคดี 112 แล้วถูกส่งตัวเข้าคุก กว่าจะได้ประกันตัว ก็ต้องรอแล้วรออีก บางคนรอเป็นเดือน หรือหลายเดือน

สำหรับ “ทักษิณ” แค่มีภาพถูกส่งตัวเข้าเรือนจำก็แย่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมเสี่ยงไปฟังคำสั่งคดีตามนัด

เมื่ออัยการสั่งฟ้อง และนัดนำตัวส่งฟ้องศาล ในวันที่ 18 มิ.ย. 67 ระหว่างนี้ “ทักษิณ”จึงต้องเคลื่อนไหวทุกทางให้มั่นใจว่า เมื่อถูกนำตัวส่งฟ้องศาลแล้ว จะต้องได้รับการประกันตัว

ไม่แน่ “ทักษิณ” อาจย่องเงียบไปพบอัยการ เพื่อนำตัวส่งฟ้องศาลก่อน 18 มิ.ย. ก็เป็นได้ หากเคลียร์เรื่องปล่อยตัวชั่วคราวได้
อย่างไรก็ตาม การสั่งคดีของอัยการสูงสุดครั้งนี้ ก็ทำให้ “ทักษิณ” ตกเป็นผู้ต้องหาในคดี 112 เป็นที่เรียบร้อย กลายเป็นชนักปักหลังที่ไม่รู้ว่าจะดึงออกได้หรือไม่

สถานการณ์ของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย ในขณะนี้จึงอยู่ในช่วงที่อ่อนไหวสุดๆ

เพราะ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ก็ถูกชนักปักหลัง จากเรื่อง 40 สว. ยื่นถอดถอนจากตำแหน่งนายกฯ จากกรณีเสนอชื่อ “ทนายถุงขนม” พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ส่วน“ทักษิณ ชินวัตร” ที่ว่ากันว่า “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ตัวจริงของพรรคเพื่อไทย ก็ถูกชนักปักหลังจากคดี 112

และถึงที่สุดแล้ว ทั้งสองคดีนี้ ไม่รู้ว่าจะตัดสินช้าหรือเร็ว และไม่รู้ว่าจะออกหัว ออกก้อย!!

สำหรับ “เศรษฐา ทวีสิน” ถ้าผลออกมาในทางบวก ก็ไม่มีปัญหา รัฐบาลยังเดินหน้าต่อไปได้ แต่ถ้าผลออกมาในทางลบ คือต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั่นหมายถึงพังกันทั้งยวง คือ ครม.ไปหมดทั้งคณะ ต้องเลือกนายกรัฐมนตรีกันใหม่

ส่วนกรณีของ “ทักษิณ ชินวัตร” นั้นถ้าผลของคดีในศาลชั้นต้น ออกมาเป็นบวก ก็ถือว่าพ้นบ่วงไปเปลาะหนึ่ง แต่ยังต้องไปรอลุ้นว่า อัยการจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่... แต่ถ้าศาลชั้นต้นตัดสินให้ “ทักษิณ”ผิด และมีโทษจำคุก ก็ต้องลุ้นหนักอีกหลายชั้น ตั้งแต่การลุ้นว่า จะได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ หรือไม่ หรือแม้แต่ผลคดีของศาลอุทธรณ์จะออกมาอย่างไร เรียกได้ว่า “เทวดาสาหัส” ก็แล้วกัน

จึงต้องจับตาว่า การเมืองหลังจากนี้จะถึงจุดเปลี่ยน หรือขับเคลื่อนไปในทิศทางใด โดยเฉพาะถ้าทั้งสองกรรณี มีความเกี่ยวเนื่อง ผูกโยงกับ “ดีลับที่มีปัญหา” อย่างที่มีการวิเคราะห์ วิจารณ์กันจริง


** 10เต็ม10 “เบลล่า ราณี” พูดดีโดนใจ

เรื่องที่นางเอกสาวมากความสามารถ “เบลล่า ราณี” ขึ้นกล่าวขอบคุณที่ได้รับรางวัลนักแสดงทรงคุณค่าตลอดกาล จากคมชัดลึกอวอร์ด ครั้งที่ 20 เมื่อคืนวันก่อน กลายเป็นกระแสถูกพูดถึงในโลกโซเชียลฯ อย่างกว้างขวางจนทำให้ “#เบลลา”ติดอันดับฮอตฮิตในแพลตฟอร์ม X

ว่ากันว่า คำพูดของ “เบลล่า ราณี” ที่เล่าถึงความมุ่งมั่น ความพยายาม และสิ่งที่ฝ่าฟันตลอด 14 ปี บนเส้นทางอาชีพนักแสดง จนมาเป็น “เบลล่า ราณี แคมเปน” ทุกวันนี้นั้น โดนใจผู้ฟัง ชาวเน็ตถึงกับยกให้เป็น “สปีชทัชใจ” แห่งปี ที่บ่งบอถถึง เบลล่า มีมายเซ็ตที่ดี พูดได้ดี ตอบทุกคำถาม สยบทุกดรามา

มีวาทะเด็ดๆ ในหลายตอน อาทิ "ชีวิตเบลเปรียบเหมือนม้าแข่งที่ไม่ใช่ตัวเต็ง” เธอใช้เวลาหลายปีในฐานะเด็กฝึกช่องสาม นั่งรถตู้จากธรรมศาสตร์รังสิต มาที่ช่อง 3 นานหลายปี

“เบลก็เหมือนทุกคน ไม่ได้สวยงาม มีความผิดหวัง ถูกดูถูก ถูกวิจารณ์ แต่ก็อดทนรอ”

คนเราไม่ได้สำเร็จตั้งแต่ก้าวแรก และอาจจะสำเร็จในครั้งที่ 100 ด้วยซ้ำ และบางครั้งความพยายามเป็น 100 ไม่พอต้องใช้โชคด้วย...แต่ถ้าเราตั้งใจ และพร้อมตลอดเวลา เมื่อจุดเปลี่ยนมา เราจะพร้อมคว้าไว้ทันที

หรือ "อย่าให้คนอื่นมาบอกว่า เราทำไม่ได้ อย่าเอาคำดูถูก หรือว่าการกลั่นเเกล้งมาบั่นทอนจิตใจของเรา แต่ว่าคุณจงใช้พลังนั้นในการขับเคลื่อนตัวคุณ"... และถ้าวันไหนที่เราได้ลงสนาม วิ่งให้สุดกำลัง ไม่แข่งกับใคร ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

“เบลล่า ราณี” ครองใจแฟนละคร เป็นนางเอกเรื่องไหนก็มักมีเรตติ้งสูง โดยเฉพาะกับละครเรื่อง "บุพเพสันนิวาส" ได้สร้างกระแสนิยมไทย “ออเจ้า” ไปทั่วทั้งประเทศ

นอกจากจะลัคกี้ในงานโดยรับรางวัลเกียรติยศ “เบลล่า” ตกเป็นข่าวก่อนนี้ว่า กำลังลัคกี้อินเลิฟ กับ "วิล- ชวิณ" ทายาทธุรกิจหมื่นล้านคนในตระกูล “เจียรวนนท์”

แน่นอนความเคลื่อนไหวในโหมดความรักของนางเอกสาว ถูกจับตามองไม่คลาดสายตาจากแฟนๆ และสื่อ

ในงานเดียวกันนี้ เธอก็ตอบคำถามคาใจถึงความสัมพันธ์ไม่ธรรมดานี้ได้ดีเช่นกันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามภาพที่เห็น ใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้ปิดบัง แต่ที่ยังไม่ออกมาเปิดเผยเพราะไม่อยากให้กระทบงานของฝ่ายชาย ที่เป็นนักธุรกิจ ซึ่งก็ขอให้รอลุ้น รอดูต่อไป
นาทีนี้ เรียกว่า “เบลล่า” ยืนหนึ่งทั้งฝีมือการแสดงและบทบาทชีวิตนอกจอ และ ต้องถือว่าเบลล่าเป็นนางเอกสาวที่น่าชื่นชม ทัศนะคติการใช้ชีวิตบนอาชีพนักแสดงสามารถเป็นแบบอย่างที่ดี และสร้างแรงจูงใจให้เด็กและเยาวชนได้ดีเลยทีเดียว