xs
xsm
sm
md
lg

เครือข่ายกัญชา ยื่น “สมศักดิ์” ค้านดึงกลับสู่ยาเสพติด ผูกขาดกัญชาให้ทุนการเมือง เตือนอย่าคอร์รัปชันนโยบาย เพื่อไทยจะได้รับบทเรียน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เครือข่ายกัญชายื่นหนังสือถึง “สมศักดิ์” ค้านนำกัญชากลับไปขังคุกเป็นยาเสพติด ผูกขาดให้กลุ่มทุน-การเมือง ชี้ควรออกเป็น พ.ร.บ.เอาข้อดีมาใช้และควบคุมข้อเสีย แนะต้องแสวงหาความจริงก่อน อย่าคอร์รัปชันในการกำหนดนโยบาย ขู่หากยังดึงดันตบตาสังคมเพื่อแก้ตัวจากเรื่องยาบ้า 5 เม็ด พรรคเพื่อไทยจะได้รับบทเรียน

วันนี้ (16 พ.ค.) เวลา 13.00 น. นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล เลขาธิการเครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทย และสมาชิกเครือข่ายจำนวน 100 คน ได้รวมตัวกันไปยื่นหนังสือต่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง​ ข้อเสนอเพื่อการปฏิบัติต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในกรณีการนำกัญชากลับสู่ยาเสพติด โดยเนื้อหาในหนังสือ มีดังนี้

1. กัญชาควรควบคุมด้วยกฎหมายรูปแบบไหน
ไม่มีใครถกเถียงว่ากัญชาควรควบคุมหรือไม่ ประเด็นที่สังคมนี้ต้องถกเถียงกันคือจะคุมกัญชาด้วยกฎหมายแบบไหน โดยในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ กัญชาสามารถควบคุมโดยการออกกฎหมายระดับสูงสุดเพื่อควบคุมเชิงระบบให้มีประสิทธิภาพคือกฎหมาย “พระราชบัญญัติกัญชา” หรือ จะควบคุมโดยกฎหมาย “ยาเสพติด” การควบคุมด้วยกฎหมายทั้ง 2 รูปแบบมีความแตกต่างกัน

1.1 การควบคุมโดยกฎหมายยาเสพติด เท่ากับเอากัญชาไปขังคุกและจะทำกติกาให้กลุ่มเฉพาะเท่านั้นที่ปลูกได้ เพื่อรองรับมูลค่ากัญชาหลายหมื่นล้านบาท การควบคุมด้วยกฎหมายยาเสพติด คือ การปิดโอกาสในการใช้ประโยชน์ของประชาชนและการควบคุมเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคก็จะกระทำไม่ได้ เพราะจะเกิดกัญชาใต้ดินเต็มไปหมดและนี่คือเหตุผลที่ประเทศเยอรมนีเลือกใช้กฎหมายปกติในการควบคุม เพราะมีประสิทธิภาพมากกว่า

1.2 การควบคุมโดยกฎหมายพระราชบัญญัติ มีเป้าหมายสำคัญ คือ การควบคุมเพื่อดึงข้อดีมาใช้และควบคุมข้อเสียอย่างมีประสิทธิภาพ และกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติสามารถวางรากฐานการพัฒนาเชิงระบบทั้งการผลิต แปรรูป วิจัยและพัฒนา อีกทั้งจะสามารถออกแบบกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปและรองรับปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ได้

เมื่อใช้หลักการในการประเมินเครื่องมือในการควบคุมกัญชาว่าจะพบว่าหากต้องการเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ ควบคุมได้จริง นำประโยชน์มาใช้ได้จริงและไม่ผูกขาดกัญชาเพื่อคนกลุ่มใด จะต้องใช้กฎหมายปกติที่สามรรถออกแบบกลไกเชิงระบบได้คือกฎหมาย พระราชบัญญัติ

การที่รัฐบาลจะนำกัญชาไปควบคุมโดยกฎหมายยาเสพติดเท่ากับแสดงเจตนาอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการกลไกที่มีประสิทธิภาพแต่ต้องการกลไกที่สามารถใช้อำนาจควบคุมและทำให้การปลูกกัญชาอยู่ในกลุ่มของตัวเองและกลุ่มทุนที่สนับสนุนพรรคการเมือง

เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยและภาคีจึงเรียนไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่าอย่าคอร์รัปชันในกระบวนการจัดทำนโยบาย กัญชาต้องควบคุมด้วยกฎหมายที่มีประสิทธิภาพคือพระราชบัญญัติ

2. มีข้อเท็จจริงใหม่อันใดที่ร้ายแรงอย่างยิ่งจึงต้องเอากัญชากลับสู่บัญชียาเสพติด
​การพิจารณานำกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดทั้งที่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองของกรรมการทุกชุดและผ่านความเห็นชอบในหลักการของสภาผู้แทนราษฎรชุดที่แล้วว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติด ฉะนั้น การนำกัญชากลับสู่ยาเสพติดต้องมีข้อเท็จจริงใหม่ หากไม่มีข้อเท็จจริงใหม่แสดงว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขใช้อำนาจในการกำหนดนโยบายแต่ไม่ได้ใช้ข้อเท็จจริง ซึ่งนับเป็นการคอร์รัปชันในกระบวนการกำหนดนโยบาย เครือข่ายเขียนอนาคตกัญชาไทยขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกลับมาใช้ข้อเท็จจริงในการกำหนดและข้อเท็จจริงนั้นจะต้องให้สาธารณะรับทราบ โดยมีข้อเสนอให้ปฏิบัติดังนี้

2.1 ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจัดทำข้อเท็จจริงเปรียบเทียบให้เห็นถึง ข้อดี ข้อเสีย การก่อโรค และการมีคุณสมบัติรักษาโรคระหว่าง สิ่งที่อนุญาตให้อยู่กับสังคมได้ในขณะนี้คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ โดยเปรียบเทียบกับสิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขตัดสินไปแล้วว่าจะนำสู่บัญชียาเสพติดคือกัญชา เพื่อให้สังคมไทยทั้งหมดเห็นว่า ผู้ใดที่ทุจริตข้อมูล เบี่ยงเบนข้อเท็จจริง เพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายในการควบคุมกัญชา โดยขอให้ยึดถืองานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์เท่านั้นอย่าเอาข้อมูลที่ ‘มโนเอาเอง’ มาใส่ในการเปรียบเทียบครั้งนี้

2.2 เมื่อจัดทำข้อเท็จจริงตามข้อ 2.1 แล้วเสร็จ ให้กระทรวงสาธารณสุขสังเคราะฐานข้อมูลที่จัดทำขึ้นว่าสิ่งใดควรนำกลับไปสู่บัญชียาเสพติด สิ่งใดควรอยู่กับสังคม โดยมิให้นำข้อกฎหมายในปัจจุบันมาเกี่ยวข้องในการวิเคราะห์ โดยให้ใช้คุณสมบัติทั้ง4ประการตามข้อ 2.1 เป็นฐานข้อมูลในการวิเคราะห์

3. ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีอ้างคำสัมภาษณ์ของคุณอนุทิน ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในมติชนออนไลน์ ระบุว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้หมายถึงให้เอากลับไปเป็นยาเสพติดแต่ให้ไปศึกษาว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเกิดผลดีผลเสียอย่างไร หากมีผลเสียมากกว่าก็ให้นำกลับไปสู่บัญชียาเสพติด หากไม่ได้มีผลเสียหายอะไรก็ไม่ต้องนำกลับไป ฉะนั้นการตั้งธงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่าจะต้องเอากลับไปเป็นยาเสพติดจึงเป็นการคอร์รัปชันในกระบวนการกำหนดนโยบาย และการคอร์รัปชันในกระบวนการกำหนดนโยบายจะนำไปสู่การผูกขาดผลประโยชน์ของคนเฉพาะกลุ่มเสมอ

ขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามกระบวนการกำหนดนโยบายที่ถูกต้อง อย่าคอร์รัปชันในกระบวนการกำหนดนโยบาย นั่นคือ กระทรวงสาธารณสุขจะต้องแสวงหาความจริงก่อนการตัดสินใจ โดยเสนอให้ตั้งกรรมการร่วมขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อจัดทำข้อมูลกัญชาเชิงระบบ และนำข้อมูลนั้นมาตัดสินใจในการกำหนดนโยบายกัญชา กรรมการร่วมดังกล่าวจะต้องประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคประชาชน ภาควิชาการ และจะต้องนำเสนอข้อมูลนี้ต่อสาธารณะให้รับทราบโดยทั่วกัน

ข้อเสนอทั้ง 3 ข้อ เป็นข้อเสนอที่ต้องการให้ประเทศไทยกำหนดนโยบายใดๆ ก็ตามจากข้อเท็จจริง อย่าใช้อำนาจทางการเมืองและความต้องการเฉพาะกลุ่มมากำหนดนโยบายสาธารณะ และเพื่อให้การดำเนินการแล้วเสร็จโดยไวเพื่อให้ประเทศไทยมีกฎหมายควบคุมกัญชาบังคับใช้และเพื่อป้องกันไม่ให้นักการเมืองเอากัญชาไปเล่นการเมืองอีกต่อจากนี้ไป เครือข่ายขอให้กระทรวงปฏิบัติตามกำหนดเวลาดังนี้

4. กำหนดระยะเวลาการจัดทำข้อเท็จจริง

4.1 การจัดทำข้อเท็จจริงเปรียบเทียบระหว่างเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ กัญชา ขอให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ทั้งนี้ เพราะข้อมูลทั้งหมดมีอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข ส่วนงานวิจัยกัญชาหากกระทรวงสาธารณสุขไม่มีปัญญาในการจัดทำสามารถตั้งคณะทำงานชุดย่อยขึ้นมาเพื่อการแสวงหาข้อมูล

4.2 การจัดทำข้อมูลกัญชาเชิงระบบโดยกรรมการร่วมที่จัดตั้งขึ้นให้ดำเนินการภายใน 3 เดือน โดยระยะเวลาดังกล่าวยังอยู่ในขอบเขตภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมในการได้ข้อมูลและไม่ล่าช้าจนเกินไปในการดำเนินการให้มีกฎหมายควบคุมกัญชา

หากพรรคเพื่อไทยโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขต้องการเอาใจประชาชนจากความผิดพลาดในการออกนโยบายยาบ้า 5 เม็ดแล้วจะบอกกับสังคม ว่า พรรคนี้เอาจริงเรื่องยาเสพติดด้วยการนำกัญชากลับไปขังคุกและยังได้ผลประโยชน์ตามมาคือ สามารถกำหนดกติกาเฉพาะเพื่อผูกขาดการปลูกกัญชาให้คนบางกลุ่มเท่านั้นที่ปลูกได้ การกำหนดกัญชาเป็นยาเสพติดจึงบรรลุเป้าหมายการควบคุมกัญชาที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านต่อปี

​จึงเรียนมายังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ว่า ยังมีโอกาสในการกลับตัวและให้กำหนดกัญชาจากกลไกที่ถูกต้องเป็นธรรมดังที่เสนอไว้ข้างต้นและอย่าคิดว่าข้อมูลที่เกิดจากการปั่นให้กัญชาเป็นสิ่งเลวร้ายจะสามารถครอบงำประชาชนได้ หลังจากนี้ ประชาชนจะรับทราบความจริง และหากยังใช้อำนาจไม่ใช้ข้อเท็จจริง พรรคเพื่อไทยจะได้รับบทเรียนจากสังคม

ด้าน นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ตนได้ยินมาเสมอว่า กัญชาทางการแพทย์ ซึ่งยังไม่เคยมีการพูดเรื่องสันทนาการ โดยตนก็งงว่า ทำไมสังคมสับสน และนำกัญชากลับเป็นยาเสพติดไม่ได้ จนเกิดการถกเถียงกัน ซึ่งในความคิดเห็นของตน ต้องทำกัญชาให้เป็นประโยชน์ทางการแพทย์ และประโยชน์ทางเศรษฐกิจ รวมถึงไม่ขัดกับโลกสากล โดยตนขอยืนยันว่า จะนำหนังสือข้อเรียกร้องทั้งหมดไปพิจารณาอย่างละเอียด พร้อมเห็นว่า ถ้าสื่อสารหลายคน สังคมจะเกิดความสับสน ตนจึงขอตั้งโฆษกสื่อสารในเรื่องนี้ คือ ดร.นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ เพื่อรับฟังความเห็น และสื่อสารเรื่องนี้โดยเฉพาะ


กำลังโหลดความคิดเห็น