นายกฯ ร่วมมื้อกลางวัน งาน Re-Invest Summit Lunch ที่เมืองคานส์ กล่าวปาฐกถาชักชวนต่างชาติมาท่องเที่ยว ดำเนินธุรกิจ และลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของไทย
วันนี้ (12 มีนาคม 2567) เวลา 12.10 น. (เวลาท้องถิ่นเมืองคานส์) ณ โรงแรม Carlton Cannes เมืองคานส์ ฝรั่งเศส นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน Re-Invest Summit Lunch และกล่าวสุนทรพจน์ โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีรู้สึกยินดีที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงอาหารกลางวัน พร้อมพบปะกับผู้นำรัฐบาล ผู้กำหนดนโยบาย และผู้ประกอบการจากทั่วโลก ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของโลก และนับเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้แนะนำประเทศไทยในอีกแง่มุม นอกจากการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำของโลกที่มีทั้งชายหาดที่สวยงาม เมืองที่มีชีวิตสดใส และวัฒนธรรมที่สวยงาม หวังว่าผู้คนจากทั่วโลกจะพิจารณามาพักอาศัย ดำเนินธุรกิจ และขยายการลงทุนในไทยมากขึ้นด้วย
โอกาสนี้ นายกฯ กล่าวถึงสถานการณ์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย รวมถึงวิสัยทัศน์และนโยบายของรัฐบาล ดังนี้
สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก กรุงเทพฯ ติดอยู่ใน 10 เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกสำหรับชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้รับการยกย่องในด้านระบบการรักษาพยาบาลที่ยอดเยี่ยม มีโรงเรียนนานาชาติชั้นนำมากมาย และมีราคาสมเหตุสมผล โดยผู้ที่สนใจการลงทุนและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพฯ ติดอันดับ 1 ของโลกในดัชนีที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยยังมีแนวโน้มเติบโตกว่า 30% ในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพมหาศาลในด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทย
วิสัยทัศน์ของรัฐบาล นายกฯ มุ่งเสริมสร้างความเป็นผู้นำในภูมิภาคให้ไทยแข็งแกร่งยิ่งขึ้น และผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค โดยกล่าวถึงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของประเทศไทยทั้ง 8 ด้าน ดังนี้
1) ศูนย์กลางการบิน ผ่านการก่อสร้างสนามบินใหม่ การยกระดับสนามบินที่มีอยู่ และการเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งและบริการ พร้อมมุ่งมั่นที่จะสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อผ่านแดน (transit) และศูนย์บำรุงรักษาหลักในภูมิภาค (maintenance center)
2) ศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว รัฐบาลวางแผนที่จะยกระดับสถานะของไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก เสริมสร้างประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวผ่านวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทาง และวางตำแหน่งประเทศให้เป็น "โฮมสเตย์" ระดับโลกสำหรับนักเดินทางทั่วโลก
3) ศูนย์กลางด้านการแพทย์และส่งเสริมสุขภาพ ด้วยการเสริมสร้างระบบการดูแลสุขภาพที่มีชื่อเสียงและการแพทย์แผนโบราณ พร้อมมุ่งมั่นที่จะเป็นจุดหมายปลายทางด้านการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุมสำหรับผู้ป่วยต่างชาติ
4) ศูนย์กลางการเกษตรและอาหาร โดยเน้นย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะ "ครัวโลก" ซึ่งไทยมุ่งมั่นที่จะเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เข้าไปมีส่วนร่วมในความมั่นคงด้านอาหารของโลก และขับเคลื่อนนวัตกรรมในภาคอาหาร รวมถึงความก้าวหน้าในโปรตีนจากพืช และผลิตภัณฑ์ฮาลาล
5) ศูนย์กลางขนส่งของภูมิภาค ผ่านการลงทุนที่สำคัญในโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการขยายถนน ทางรถไฟ และการพัฒนาเครือข่ายรถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะอำนวยความสะดวกทางการค้าและทำให้ความสามารถด้านโลจิสติกส์ของไทยแข็งแกร่งขึ้น
6) ศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต ประเทศไทยซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์และ EV รายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ วางแผนที่จะดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรม EV ให้มากขึ้น และสนับสนุนการพัฒนาระบบนิเวศระบบรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุม และพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต
7) ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเป้าหมายคือ การดึงดูดการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม และ AI พร้อมส่งเสริมบริษัทเทคโนโลยีขั้นสูงด้วยแรงจูงใจ และการสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อขยายอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ
8) ศูนย์กลางทางการเงิน ด้วยการส่งเสริมภาคการเงินที่แข็งแกร่งและมีนวัตกรรม ดึงดูดสถาบันการเงินระดับโลก และพัฒนาระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
นายกรัฐมนตรีกล่าวในช่วงท้ายว่า วิสัยทัศน์เหล่านี้ไม่ใช่แค่ความฝันเท่านั้น แต่มีแผนและการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมรองรับ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายแห่งกำลังดำเนินการอยู่ นอกจากนี้ ด้วยแรงจูงใจและการสนับสนุนที่ถูกต้องจากรัฐบาล ควบคู่ไปกับความร่วมมือและการลงทุนจากภาคเอกชน นายกรัฐมนตรีมั่นใจว่าจะสามารถเปลี่ยนวิสัยทัศน์เหล่านี้ให้กลายเป็นความจริงได้ พร้อมกล่าวย้ำว่า ประเทศไทยเปิดกว้างสำหรับธุรกิจอย่างเต็มที่ และไม่มีเวลาใดที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้วในการลงทุนในประเทศไทย “ Thailand is fully open for business, and there has never been a better time to invest in Thailand"
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก "เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin" ว่า "ประเทศไทยมีศักยภาพ พร้อมสำหรับการทำธุรกิจ และเวลานี้คือช่วงที่ดีที่สุดในการลงทุนในประเทศไทยครับ
"ประเทศไทยคือหนึ่งในประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก ส่วนกรุงเทพฯ นั้นติดอันดับ Top 10 ของเมืองน่าอยู่สำหรับกลุ่ม Expat เพราะมีพร้อมทั้งการบริการด้านสุขภาพมาตรฐานสูง โรงเรียนนานาชาติ ในราคาที่จับต้องได้
"ช่วง Re-Invest Summit Lunch ผมมีโอกาสพูดถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยตามวิสัยทัศน์ประเทศไทย 2030 ที่ตั้งเป้าเป็น Hub ใน 8 เรื่อง ทั้ง Aviation Hub, Tourism Hub, Wellness and Medical Hub, Agricultural and Food Hub, Logistic Hub, Future Mobility Hub, Digital Economy Hub และ Financial Hub
"เป้าหมายที่ตั้งไว้จะกลายเป็นความจริงด้วยศักยภาพของประเทศ ความทุ่มเทต้องใช้ใจของรัฐบาล และความร่วมมือของทุกภาคส่วนครับ"