“เศรษฐา” กล่าวปาฐกถางานมหกรรมอสังหาริมทรัพย์นานาชาติ (MIPIM 2024) ย้ำ ศักยภาพ 3 โครงสร้างพื้นฐานของไทย “ศูนย์กลางการบิน-Landbridge-พลังงานสีเขียว” ช่วยส่งเสริมความก้าวหน้า ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
วันนี้ (12 มี.ค.) เวลา 11.10 น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองคานส์ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 6 ชั่วโมง) ณ Palais des Festivals เมืองคานส์ สาธารณรัฐฝรั่งเศส นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมพิธีเปิดงานมหกรรมอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติ (MIPIM 2024) และกล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาหัวข้อ “Better Infrastructures in an Age of Risk, Scarcity and Emergency” เพื่อแสดงวิสัยทัศน์และแบ่งปันประสบการณ์ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย โดย นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ รัฐบาลส่งเสริมความเท่าเทียมกันผ่านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเชื่อมั่นว่า โครงสร้างพื้นฐานที่ดีจะเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความก้าวหน้าและการเข้าถึงทุกภาคส่วน นำไปสู่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งไม่เพียงสำหรับผู้ที่อาศัยในเมืองใหญ่เท่านั้น แต่ยังมอบโอกาสให้กับทุกคนในทุกพื้นที่ด้วย
ไทยที่ได้เปิดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิในกรุงเทพฯ เมื่อ 18 ปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการเปิดประตูสู่ประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงทศวรรษก่อนที่สนามบินจะสร้างแล้วเสร็จ มีจำนวนนักเดินทางเพิ่มขึ้นที่ 71% และทศวรรษต่อมา มีการเติบโตกว่า 110% ในหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก
ความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐาน ไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมหลายมิติ รวมถึงด้านอสังหาริมทรัพย์ด้วย ซึ่งในยุคที่มีความเสี่ยงรอบด้าน ความขาดแคลน และสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ การมีโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนถือเป็นสิ่งล้ำค่าที่สามารถสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกันและทำหน้าที่เป็นกระดูกสันหลังที่สำคัญสำหรับสังคม นายกรัฐมนตรีจึงได้แบ่งปันวิสัยทัศน์ของรัฐบาลและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้ความสำคัญกับ 3 ด้านหลัก ได้แก่
ด้านศูนย์กลางการบิน (Aviation Hub) รัฐบาลวางแผนที่จะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินหลักของภูมิภาคภายในทศวรรษนี้ ไทยตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคอินโดจีน ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เมืองใหญ่ๆ ทั่วเอเชียใช้เวลาบิน 4-6 ชั่วโมง ซึ่งกรุงเทพฯ เพียงแห่งเดียว ได้ต้อนรับผู้โดยสารมากกว่า 60 ล้านคนต่อปี จึงต้องการขยายขีดความสามารถให้รองรับนักเดินทางได้มากขึ้น โดยมีแผนจะขยายสนามบินที่มีอยู่และสร้างสนามบินใหม่ ทั้งการขยายสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิเพื่อเพิ่มอาคารผู้โดยสารใหม่ และสร้างรันเวย์อีก 2 แห่ง เมื่อสร้างเสร็จจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้ รัฐบาลจะสร้างสนามบินใหม่อีก 2 แห่งในภาคเหนือและภาคใต้ โดยสนามบินนานาชาติล้านนา (Lanna International Airport) จะเป็นสนามบินแห่งที่สองของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่คึกคักในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดอื่นๆ ในภาคเหนือ ขณะที่สนามบินนานาชาติอันดามัน (Andaman International Airport) ในจังหวัดพังงา ซึ่งใกล้กับจังหวัดภูเก็ต จะช่วยเสริมศูนย์กลางการบินเชื่อมเส้นทางระยะไกลในภาคใต้ของประเทศไทย โดยสนามบินทั้งสองแห่งนี้จะรองรับผู้โดยสารรวมกันได้สูงสุดถึง 40 ล้านคนต่อปี
นอกเหนือจากนี้ รัฐบาลมีแผนจะปรับปรุงการบริการสำหรับผู้มาเยือนทุกคนที่เดินทางผ่านสนามบินของไทย ได้แก่
- การปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงานภาคพื้นดินและการลดระยะเวลารอผู้โดยสารขาเข้าและขาออก
- การขยายและจัดสรรเวลาจัดการการบินขึ้น-ลงใหม่ (landing and take-off slots) เพื่อให้เหมาะสมและสะดวกยิ่งขึ้นสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ
- การลดค่าธรรมเนียมการลงจอด (landing fees) และเพิ่มค่าธรรมเนียมการล่าช้า (delay fees) เพื่อเพิ่มมูลค่าการซื้อขายและรองรับเที่ยวบินได้มากขึ้น
- การปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยทั้งปฏิบัติการภาคพื้นดินและปฏิบัติการทางอากาศ
- การเพิ่มความถี่เที่ยวบินและเส้นทางใหม่สู่ประเทศไทย และอื่นๆ อีกมากมาย
โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าไทยจะเป็นผู้นำภูมิภาคในฐานะศูนย์กลางการบิน ด้วยการลงทุนขนาดใหญ่ในด้านโครงสร้างพื้นฐานและการบริการด้านต่างๆ
ด้านโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (Landbridge Project) เป็นรากฐานสำคัญของการเชื่อมต่อทางทะเลในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ปัจจุบันเราเผชิญกับความเสี่ยงอย่างมาก จากการพึ่งพาช่องแคบมะละกาเพียงอย่างเดียวในการเดินทางระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก โดยปัจจุบัน 25% ของสินค้าทั่วโลกผ่านช่องแคบดังกล่าว ซึ่งในแต่ละปี เรือจำนวน 90,000 ลำ ต้องแล่นผ่านเส้นทางน้ำที่คับคั่ง ส่งผลให้การจราจรเคลื่อนตัวได้ช้าและต้องเข้าคิวจำนวนมาก ซึ่งภายใต้โครงการ Landbridge ถนนและรถไฟความเร็วสูงจะเชื่อมต่อท่าเรือน้ำลึก 2 แห่ง โดยตัดผ่านภาคใต้ของไทย และเป็นทางเลือกเชื่อมต่อระหว่างมหาสมุทรทั้งสองแห่ง ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญจากมุมมองเชิงพาณิชย์เท่านั้น แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาการค้าการลงทุนของโลกและเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทาน ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์โลก รัฐบาลจึงเชื่อมั่นว่า โครงการ Landbridge จะประสบความสำเร็จและสำคัญกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีความเป็นกลาง พร้อมเปิดรับทุกภาคส่วนเสมอ
ด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสีเขียว (Green Energy Infrastructure) โครงการและการลงทุนที่สำคัญส่วนใหญ่นับจากนี้ ล้วนต้องการเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนในราคาที่เหมาะสมและเชื่อถือได้ โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ลงทุนจำนวนมากเพื่อให้มั่นใจว่าประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายของการมีพลังงานทดแทน 50% ของการผลิตภายในปี 2583 รวมทั้งไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศต้น ๆ ที่เปิดตัวโครงการกำหนดอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff) เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่ลงทุนในประเทศไทยมั่นใจได้ว่าจะสามารถเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนได้ในปีต่อๆ ไป
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า โครงการและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของไทย ไม่เพียงสำคัญสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย แต่ยังรวมถึงความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและเท่าเทียมกันด้วย โดยเมื่อเกิดความร่วมมือกัน จะไม่ใช้เพียงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น รัฐบาลกำลังสร้างการเชื่อมต่อที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจและประชาชนเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ ขอให้ผู้เข้าร่วมทุกคน พิจารณาการมีส่วนร่วม เปลี่ยนวิสัยทัศน์เหล่านี้เป็นความจริง เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน
อนึ่ง งาน MIPIM 2024 เป็นงานมหกรรมอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับนานาชาติ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 มีนาคม 2567 มีพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการขนาดใหญ่กว่า 18,700 ตารางเมตร พร้อมด้วยการประชุมเชิงปฏิบัติการ การเสวนา และการพบปะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนทั่วโลกที่เกี่ยวเนื่องในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์
นายกรัฐมนตรี ยังได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก "เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin" ว่า "ประเทศไทยเรามีศักยภาพ เราต้องไปได้ไกลกว่านี้ และวันนี้เราต้อง “เชื่อมไทยสู่โลก เชื่อมโลกสู่ไทย” เพื่อเปิดให้ชาวต่างชาติ มองเห็นประเทศไทยในอีกมุมหนึ่งที่เราอยากให้สังคมโลกเห็นครับ ซึ่งงานเทศกาลระดับโลกอย่าง MIPIM: The Global Urban Festival ได้เปิดโอกาสให้ประเทศและผู้นำของไทยได้แสดงศักยภาพและวิสัยทัศน์ ผมได้เน้นย้ำถึงความสําคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญสําหรับประเทศ
"หนึ่งในหมุดหมายสำคัญของรัฐบาลนี้ คือ การสร้างความเท่าเทียมด้วยโอกาสและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ผมเชื่อว่า โครงสร้างพื้นฐาน คือหัวใจสำคัญของการสร้างความก้าวหน้าและการเข้าถึงในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ เป็นที่รู้กันดีว่า โครงสร้างพื้นฐานที่ดี จะกระจายความเจริญทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคมไปสู่เมืองอื่นๆ ไม่กระจุกตัวอยู่เพียงแค่ในเมืองหลวงเท่านั้น เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน และทุกอุตสาหกรรม โดยรัฐบาลจะขยายสนามบินเดิม และสร้างสนามบินใหม่เพิ่ม เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคนี้ภายในปี 2030 ในอนาคตสนามบินบ้านเราจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 150 ล้านคนต่อปี มากกว่าปัจจุบันหลายเท่า เราจะมี Landbridge เชื่อม 2 ท่าเรือ และมีระบบรางเพื่อเชื่อมต่อไปยังแหลมฉบัง
"ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มักจะปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นจำนวนมาก รัฐบาลจึงต้องพิจารณาแผนการผลิตพลังงานทดแทนไปด้วยพร้อม ๆ กัน ประกอบกับในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา อุตสาหกรรม S-Curve ที่ผมได้เชิญชวนมาลงทุน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พลังงานสะอาด คือปัจจัยหลักในการตัดสินใจลงทุน ซึ่งเรามีเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตพลังงานทดแทนให้ได้ 50% ของการบริโภคพลังงานในประเทศในปี 2040 เพื่อรองรับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น เพราะเราไม่ได้สร้างแค่เพียงโครงสร้างพื้นฐาน แต่เรากําลังสร้างสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจและผู้คนเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและมั่งคั่งครับ"
นายกรัฐมนตรี ยังโพสต์ข้อความอีกว่า "ผมได้เดินชมบูทในงานเทศกาล MIPIM: The Global Urban Festival (Marché international des professionnels de l'immobilier) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 ถึง 15 มีนาคม 2567 ณ Palais des Festivals เมืองคานส์ ประเทศฝรั่งเศสครับ
"ในงานนี้ประเทศไทยได้รับเชิญ มาในธีม THAILAND UNVEILED : Harmonizing Livability for Life เพื่อชูจุดแข็งของแต่ละภูมิภาค และผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทย ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีระดับโลก
"MIPIM เป็นงาน Real Estate ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีนักลงทุนบริษัทใหญ่ๆ จำนวนมาก รวมทั้ง Sovereign Wealth Fund ของหลายประเทศ นี่คือโอกาสในการแสดงความพร้อมของประเทศในการเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุนจากต่างชาติ ไม่ใช่แค่ด้าน Real Estate แต่รวมถึง อีก 8 เสาหลักที่เป็นเป้าหมายของรัฐบาลไทยไม่ได้มีศักยภาพแค่เรื่องท่องเที่ยว
"เราคือเมืองน่าอยู่, น่าทำงาน น่าลงทุน และประเทศไทยจะต้องยืนในเวทีโลกได้อย่างสง่างาม และมีโอกาสได้แสดงศักยภาพของด้านนี้อย่างเต็มที่ครับ"