เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าหลายคนยังโฟกัสไปที่นายทักษิณ ชินวัตร หลังจากได้รับการ“พักโทษ” กลับมาที่“บ้านจันทร์ส่องหล้า” ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา หลายคนยังวิพากษณ์วิจารณ์เรื่อง “ป่วยทิพย์” หรือ เป็นพวก “อภิสิทธิ์ชน” รวมไปถึงยังจับตาอีกว่า นับจากนี้ไปบ้านหลังนี้จะ “ส่องแสง” ลงมาจนทำให้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ทำเนียบรัฐบาลต้อง “อับแสง” ลงไปหรือไม่
อย่างไรก็ดี ที่มองข้ามไปไม่ได้ก็คือ เมื่อนายทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษ กลับมาอยู่บ้านแล้ว และหากเชื่อว่ากรณีดังกล่าวมีเรื่อง“ดีลลับ” เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ก็ต้องอย่าลืมว่า ยังมีอีกคนหนึ่งที่ถือว่าเป็น “หัวใจ” ของครอบครัวชินวัตร นั่นก็คือน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และน้องสาวของนายทักษิณ ที่เวลานี้กำลังหลบหนีคดีทุจริตที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว อยู่ในต่างประเทศ
แน่นอนว่ากรณีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ย่อมต้องเกิดคำถามด้วยความสงสัยว่า จะเดินตามรอยพี่ชายหรือไม่ นั่นคือ การกลับเข้าประเทศไทย โดยมีกระบวนการทางกฎหมายคอยร่วมด้วยช่วยกัน หรือไม่ เพราะหากมองว่า กรณีของพี่ชาย คือนายทักษิณ ชินวัตร เป็นการ “นำร่อง” มาก่อน ขณะเดียวกันหากเชื่อว่าที่ผ่านมามี “ดีลลับ” มันก็ย่อมมีการพูดถึงเรื่องของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยหรือไม่
แม้ว่าหลายคนยังโฟกัสไปที่นายทักษิณ ชินวัตร หลังจากกลับมาพักที่บ้านจันทร์ส่องหล้า รวมไปถึงจับตาในเรื่อง “ผู้บารมีเหนือรัฐบาล” ก็ตามที แต่ก็มีการสอบถามเรื่องรายงานข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังจะเดินทางกลับไทย กับนายเศรษฐา ทวีสิน หลังจากการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ โดยเขาปฏิเสธ
นายเศรษฐา ทวีสิน ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีหากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีคำพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับการทุจริตในโครงการจำนำข้าวออกไปอยู่ต่างประเทศ ต้องการเดินทางจะกลับประเทศไทย ได้พูดคุยเรื่องนี้อย่างไร ว่า ยังไม่มีเรื่องนี้เข้ามา ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย
ถามว่า จะเกิดวาทกรรมใหม่เกิดขึ้นหรือไม่ หากมีการนำน.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับประเทศ เช่นเดียวกับกรณีของนายทักษิณ ชินวัตร นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดคุยกันเรื่องนี้ แต่ยืนยันว่านับตั้งแต่ที่นายทักษิณ เดินทางกลับมา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 66 ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
แน่นอนว่า สำหรับคำพูดที่ว่า “ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย” เชื่อว่าคงมีคำถามตามว่า “กฎหมายแบบไหน” มากกว่า โดยฝ่ายที่สนับสนุนก็มองไปอีกมุมหนึ่ง ทำนองว่า นายทักษิณ ชินวัตร เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ทำประโยชน์ให้กับบ้านเมืองมามากมาย ประกอบกับเป็นผู้สูงอายุ นั่นคือมีอายุเกิน 70 ปี มีอาการป่วย ก็สมควรได้รับการพักโทษ
โดยก่อนหน้านั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าในฐานะที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มีประสบการณ์ อย่างน้อยสังคมไทยก็ยอมรับว่าในยุคสมัยนั้นก็ได้มีการแก้ปัญหาวิกฤตการณ์ของประเทศในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการระบาดไข้หวัดนก วิกฤตไอเอ็มเอฟ ซึ่งถือว่าแก้ไขปัญหาได้สำเร็จ ดังนั้นหากจะมีการให้ความเห็นในระหว่างที่ประเทศเจอวิกฤต ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนคำปรึกษาจะใช้ได้มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับผู้ปฏิบัตินำไปปรับใช้กันเอง ดังนั้นอย่าไปกังวลใจ หรือนำไปผูกกับประเด็นทางการเมือง เมื่อนายทักษิณเข้ามาแล้วจะครอบงำ หรือมีนายกรัฐมนตรีสองคน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวลใจกับรัฐบาลในเรื่องนี้ เพราะรัฐบาลได้ตั้งใจทำงานให้ดีอยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่มีการห่วงการระบาดยาเสพติดในช่วงนี้ จะมีการขอความเห็น นายทักษิณ หรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้เคยมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติด นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้รัฐบาลกำลังพยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติไปแล้ว แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ก็ต้องดูความเป็นจริงให้มาก และต้องยอมรับว่าการแก้ไขปัญหายาเสพติด มีหลายความเห็น เมื่อดำเนินการเด็ดขาด และจัดการทั้งหมด ก็อาจจะผิดหลักมนุษยธรรม และสร้างปัญหาทำลายสิทธิเสรีภาพของคน ซึ่งนายทักษิณก็เคยพบกับข้อหานี้มาแล้ว แต่หากฟังอีกด้าน ก็ถือว่าไม่เด็ดขาด
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาต้องอยู่ในจุดสมดุลและเหมาะสม โดยจะต้องทำให้เด็ดขาดและสามารถแก้ไขปัญหาได้ ขณะเดียวกันต้องระมัดระวังไม่ให้มีสิ่งแทรกซ้อนเกิดขึ้น เพราะการจัดการปัญหายาเสพติด บางครั้งจะเกิดการทำร้ายหรือเข่นฆ่ากันเอาชีวิต ไม่ใช่เกิดจากรัฐบาลใช้อำนาจในการจัดการอย่างเดียว แต่มีทั้งการใช้อำนาจตัดตอนผู้ค้า ดังนั้น เรื่องนี้ละเอียดอ่อนในทางจิตใจ รัฐบาลมีความชัดเจนอยู่แล้วที่จะต้องรีบจัดการ ดังนั้นในทางปฏิบัติต้องระมัดระวัง ไม่ให้การจัดการที่เข้มงวดเด็ดขาดไปกระทบกับความรู้สึกของคนว่าไปกระทบสิทธิเสรีภาพ
อย่างไรก็ดี หลายคนเชื่อว่า นับจากนี้ไป นายทักษิณ ชินวัตร ก็คงจะ“บัญชาการเกม” อยู่หลังฉาก ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า นั่นแหละ โดยอีกสักพักก็น่าจะมีบรรดานักการเมือง ข้าราชการ ทยอยกันเข้าพบ ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งก็ต้องจับตาไปถึงอนาคตทางการเมืองของ นายเศรษฐา ทวีสิน ด้วยว่ายังสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้อีกนานแค่ไหน ซึ่งมีการประเมินกันว่า ให้รอดูในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ให้ดีว่าจะ “มีการเปลี่ยนแปลง” หรือไม่
รวมถึงการแก้เกมในการสู้ศึกกับพรรคก้าวไกลในสนามเลือกตั้งครั้งต่อไป ในฐานะ “ผู้นำขั้วการเมืองใหม่” ก็ต้องแอ็กทีฟ และสร้างผลงานออกมาให้เห็นมากกว่านี้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาถือว่าถดถอยลงไปมาก ไม่เว้นแม้แต่ความนิยมในตัวของ นายทักษิณ ที่เวลานี้ถือว่าไม่เหมือนเดิม สังเกตจากเสียงวิจารณ์ในเรื่อง “อภิสิทธิ์ชน” อย่างน้อยก็ได้เห็นแรงขย่มออกมาจากพรรคก้าวไกล ซึ่งน้อยครั้งจะได้เห็น แต่ก็ดาหน้าออกมาแบบผิดสังเกต ทำให้มองเห็นว่า “เริ่มทำศึก” กันอย่างเปิดเผยมากขึ้น
อย่างไรก็ดีแม้ว่าจะพอคาดเดาได้ว่าบทบาทในฐานะ “ผู้บัญชาการอำนาจ” ของ นายทักษิณ ชินวัตร จะต้องเกิดขึ้นชัดเจน ซึ่งจะเกี่ยวพันเชื่อมโยงไปถึงรัฐบาลชุดนี้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมถึงเรื่อง “ดีลลับ” สำคัญที่เชื่อว่าเวลานี้ “ยังไม่จบ” นั่นคือกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะได้กลับไทยเมื่อไหร่ อาจต้องรอไปอีกสักระยะ เป็นช่วงจังหวะเวลา แต่คาดว่าคงไม่นานเกินรอ !!