เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร ได้กลับถึง “บ้านจันทร์ส่องหล้า” บ้านพักหลังเดิม หลังจากสร้างสถิติโลกใหม่หลายอย่าง ทั้งในเรื่องของการนอนในโรงพยาบาลนานติดต่อกันกว่า 6 เดือน รวมไปถึงสถิติเป็นนักโทษคนแรกในโลก ที่ไม่ต้องติดคุกหรืออยู่ในเรือนจำแม้สักวันเดียว ไม่ต้องกล้อนผม ไม่ต้องลงทะเบียนนักโทษ สารพัด แต่ความหมายที่คนส่วนใหญ่มองเห็นแบบรังเกียจก็คือ “อภิสิทธิ์ชน” เป็น “เทวดา” อะไรประมาณนั้น
ขณะเดียวกันหลายฝ่ายมองเห็นตรงกันว่า นับจากนี้ไป “บ้านจันทร์ส่องหล้า” แห่งนี้จะกลายเป็น “ศูนย์บัญชาการอำนาจ” ของพวกเขา ที่อาจตีคู่ไปกับศูนย์กลางที่ “ทำเนียบรัฐบาล” หรือในทางพฤตินัยแล้วจะ “เหนือกว่า” เพราะเชื่อว่านับจากนี้ไปจะเห็นการ “วิ่งเข้าหา” มีการเข้าออกอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าอาจต้องทิ้งช่วงสักนิดหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาเขาบอกว่า “ยังป่วยหนัก” ยังไม่สะดวกที่จะพบคนอื่นโดยเปิดเผยก็แล้วกัน
แต่เอาเป็นว่า ไม่ว่าในช่วงที่อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ นานกว่า 6 เดือน ได้รับการจับตามองอยู่แล้ว แต่เมื่อได้รับการ “พักโทษ” ออกมาอยู่บ้านแล้ว ยิ่งถูกจับตามองมากกว่าเดิมแน่นอน อีกทั้งต้องจับตาอย่างเข้มข้นก็คือ “ศึกใหม่” กำลังเริ่มปะทุขึ้นมาแล้ว นั่นคือ การเปิดศึกกับพรรคก้าวไกล ที่ล่าสุดถือว่า “ชัดเจน” และเลี่ยงไม่ได้จนต้องร่นเวลาให้เร็วขึ้น
โดยเฉพาะหากโฟกัสไปที่พรรคก้าวไกล ที่เริ่ม “เปิดฉากรบกับทักษิณ” เร็วเกินคาด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเพิ่งเสียกระบวนจากการ “ผิดคิว” ของน.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ“ตะวัน”ที่ “ป่วนขบวนเสด็จ” เมื่อวันก่อน จนเกิดกระแส “ไม่ทน” ต่อต้าน จนสะเทือนมาถึงพรรคอย่างรุนแรง แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เรียกว่าจากกรณีดังกล่าวทำให้การเคลื่อนไหวของพรรคหลายเรื่องต้องสะดุดหรือต้องล้มลงไปเลย เช่น การนิรโทษกรรมครอบคลุมผู้กระทำความผิด มาตรา 112 ที่นาทีนี้ ถือว่าปิดฉากโดยสิ้นเชิงแล้ว
กลายเป็นว่า เวลานี้ พรรคก้าวไกลถูกมองเป็น “พรรคล้มเจ้า” อย่างชัดเจน นับตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การแก้ไข หรือยกเลิก มาตรา112 รวมไปถึงการนำเรื่องดังกล่าวไปใช้ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เป็นลักษณะของการเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และให้หยุดกระทำทันที สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นก็คือ ทำให้มวลชนบางส่วนที่เคยหลงไหลเคลิบเคลิ้มไปกับวาทกรรม ประดิษฐ์ประดอยคำพูดในเรื่อง “การกดทับ” หรือ “คนไม่เท่ากัน” จนมาถึงวันนี้ หลายคนเริ่มวางเฉย หลายคนเริ่มถอยออกมา เพราะเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวน์ ของหลายคนในพรรคล้วนมีพฤติกรรมหมกมุ่นอยู่กับเรื่องการแก้ไข มาตรา 112 นั่นแหละ
ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาหากย้อนกลับไปก็สามารถสังเกตได้ชัดเจนเช่นกันว่า พวกเขา (พรรคก้าวไกล) ไม่เคยแตะต้อง นายทักษิณ ชินวัตร แบบจริงๆ จังๆ เลย อย่างมากก็ตามน้ำ หรือไม่ก็พยายามเลี่ยงไม่พูดถึง ทั้งในเวลานั้นสังคมกำลังกดดันเรื่อง “นักโทษเทวดา” กันมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะว่าไปแล้วสำหรับพรรคก้าวไกลน่าจะเป็น “เงื่อนไข”ชั้นดีสำหรับการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะในเรื่องความไม่เท่าเทียง เรื่อง “อภิสิทธิ์ชน” อะไรประมาณนี้ แต่พวกเขาก็เลือกที่จะนิ่งเงียบ และไปหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องโจมตีสถาบันฯ หรือการโจมตีกองทัพ เป็นต้น ไม่เน้นแตะต้องการทุจริตของพวกนักการเมือง ในรัฐบาลแบบเต็มปากเต็มคำ
อย่างไรก็ดี ข้อสงสัยดังกล่าวก็เริ่มกระจ่างมากขึ้น เมื่อ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่สำหรับคอการเมืองแล้วรู้ทันว่าเขาคือ “เจ้าของ” พรรคก้าวไกล ได้เคยยอมรับว่าในช่วงที่มีการเจรจาตั้งรัฐบาล เขาเคยไปพบนายทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง แต่อ้างว่าไม่ได้คุยเรื่องการเมือง พร้อมทั้งย้ำว่าเป็นมิตรกัน
หรือแม้แต่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เคยเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล หากพิจารณาจากแบ็กกราวน์ ในครอบครัวของเขา ไม่ว่าตั้งแต่รุ่นพ่อ หรือ ลุง คือ นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ ที่เคยเป็นเลขาส่วนตัวของ นายทักษิณ ลักษณะไม่ต่างจาก “เด็กในบ้าน” และหากจำกันได้เมื่อครั้งหนึ่งเคยบอกว่าเขาเคยโดยสารมากับเครื่องบินเหมาลำ ลำที่นำทักษิณ บินออกนอกประเทศในช่วงรัฐประหาร ปี 49 และถูกกักตัว จนมาไม่ทันงานศพบิดา แม้ว่าหลังจากนั้นมีการค้นพบว่า ไม่ตรงข้อเท็จจริง แต่ประเด็นที่ต้องการสื่อให้เห็นก็คือ ครอบครัวเขาใกล้ชิดกับนายทักษิณ มาก่อน ส่วนจะเป็นลักษณะ“ลูกน้อง” หรือไม่นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
แต่มาถึงวันนี้ ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงเป็นตรงข้ามอย่างเห็นชัดก็คือ พรรคก้าวไกล กำลังเริ่มขย่มพรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงรัฐบาลอย่างชัดแจ้ง แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เริ่มกันตั้งแต่นายทักษิณ ได้ “พักโทษ” กลับบ้านเมื่อเข้าวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา
เริ่มจากก่อนหน้านั้นเล็กน้อยก็คือ คำพูดของ นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ออกมาขย่มก่อนโดยให้จับตา “นายกฯสองคน” ซึ่งก็เริ่มมีเสียงตอบโต้ออกมาจากจากคนในพรรคเพื่อไทย และแกนนำรัฐบาล อย่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือล่าสุดก็มี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ปฏิเสธเรื่องนี้
ล่าสุดก็มีแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกลต่อกรณีการพักโทษ นายทักษิณ ชินวัตร มีการระบุถึง “อภิสิทธิ์ชน” ความไม่เท่าเทียม เป็นต้น
โดยพรรคก้าวไกล แสดงจุดยืนต่อกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการพักโทษ ได้เพิ่มคำถามที่มีในใจของประชาชนจำนวนมาก ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน สอดคล้องกับหลักการบังคับใช้กฎหมายกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติหรือไม่ ไม่สามารถทำให้สังคมหยุดตั้งคำถามได้ถึงความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย และการปฏิบัติเมื่อเปรียบเทียบกับนักโทษและผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองคนอื่น ๆ
พรรคก้าวไกลยืนยันว่า สังคมไทยต้องการระบอบประชาธิปไตยที่ยึดหลักนิติรัฐและกระบวนการยุติธรรมเพื่อทุกคน ปราศจากระบบสองมาตรฐานหรือนิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชน
นอกเหนือจากนี้ยังมี แกนนำและ ส.ส.ของพรรคก้าวไกลอีกหลายคน ที่ออกมากล่าวในทำนองเดียวกัน โดยเฉพาะในเรื่อง “อภิสิทธิ์ชน” และความไม่เสมอภาคทางกฎหมาย แน่นอนว่าหากเป็นพรรคการเมืองอื่น ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านอาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่ออกมาถล่มแบบนี้ แต่สำหรับพรรคก้าวไกล นาทีนี้ถือว่า“แปลก” ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งสัญญาณให้เห็นแล้วถึงเวลา “เปิดศึก” กันแล้ว โดยเฉพาะเริ่ม “ศึกสองขั้ว” ในการชิงมวลชน
ซึ่งในทางการเมืองก็รับรู้ว่า การออกมาข้างนอกของ นายทักษิณ ชินวัตร เที่ยวนี้ก็เหมือนกับว่าเขาจะเป็นคน “บัญชาการเอง” แม้ว่าหน้าฉากจะเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งก็คือลูกสาวตัวเอง หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี และถือว่าเป็นเดิมพันที่ต้องเทหมดหน้าตักสู้กันเลยทีเดียว เพราะที่ผ่านมาถือว่า “ถดถอย”ลงไปมาก ความเสื่อมศรัทธาลงไปมาก อย่างน้อยก็พิสูจน์ให้เห็นชัดจากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ถือว่า นายทักษิณ พ่ายแพ้เป็นครั้งแรก
ดังนั้น เมื่อเห็นท่าทีล่าสุดของพรรคก้าวไกล ที่ออกมาเน้นย้ำในเรื่อง “อภิสิทธิ์ชน” และไม่เสมอภาคทางกฎหมายมาเป็นคำถามในกรณีของ นายทักษิณ ชินวัตร จนได้รับการพักโทษ ทำให้เป็นข้อสังเกตว่า “ศึกสองขั้ว” ได้เริ่มเร็วกว่าที่คาด อาจเป็นเพราะถึงเวลาที่ต้องเร่งเกมแล้วก็ได้ !!