xs
xsm
sm
md
lg

“ไอ้โม่ง” ป่วนขบวนเสด็จฯ สะเทือนไกลแน่ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.
เมืองไทย 360 องศา

อาจเป็นครั้งแรกที่สังคมส่วนใหญ่ มีปฏิกิริยาแทบเป็นเสียงเดียวกัน ว่า มัน “เกินเลยไปมาก” กับพฤติกรรมในการ “ป่วนขบวนเสด็จฯ” เมื่อวันก่อนของพวกนักเคลื่อนไหวการเมือง อย่าง น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ “ตะวัน” จากกลุ่มที่เรียกว่า “ทะลุวัง” ทำให้เกิดแรงสะท้อนกลับอย่างหนักหน่วงแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนส่งผลกระทบต่อ “แนวร่วม” รวมไปถึงพรรคการเมือง ที่ถูกมองว่า มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกด้วย

ขณะเดียวกัน ก็ยังได้เกิดแรงกดดันกับทั้งรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงตามมาอีก จนล่าสุด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องเรียกประชุมกับ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อวางมาตรการในการถวายการอารักขา และถวายความปลอดภัยกับพระบรมวงศานุวงศ์เข้มข้นขึ้น หลังจากก่อนหน้านั้น พยายามพูดจาในลักษณะเลี่ยงๆ แบบปรองดอง ไม่ใช้ความรุนแรง จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วงไปแล้ว

ล่าสุด พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เตรียมออกหมายจับผู้อยู่เบื้องหลังการป่วนขบวนเสด็จฯในอีก 2-3 วันนี้ โดยระบุว่า มีการทำกันเป็นขบวนการ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกรณี กลุ่มทะลุวัง ก่อความวุ่นวายต่อขบวนเสด็จฯ ว่า นายกรัฐมนตรีได้เรียกไปพบ เพื่อพูดคุยเรื่องการถวายความปลอดภัยในขบวนเสด็จฯ ซึ่งนายกฯ มีความเป็นห่วงในเรื่องช่องโหว่ แต่ยืนยันว่า เราวางระบบไว้ค่อนข้างดี อย่างไรก็ตาม คงบอกผู้สื่อข่าวไม่ได้ เพราะคนก็จะรู้ว่าระบบเป็นอย่างไร

เขากล่าวว่า ได้ยืนยันกับนายกฯ ไปแล้วว่า มีการวางระบบรักษาความปลอดภัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ ไว้เป็นอย่างดี การที่มีกลุ่มเห็นต่างมาแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างนี้ ตนได้กำชับไปตั้งแต่แรกแล้ว ว่า เราจะดำเนินคดีตามพยานหลักฐานที่มี จะไม่ออกมาบอกว่าทำอะไรอยู่ เข้าใจดีว่า สื่อมวลชนและประชาชน อยากรู้ว่าตำรวจทำอะไรบ้างกับเรื่องนี้ แต่ถ้าบอกหมดก็จะไม่เป็นผลดี

อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่า ที่กลุ่มทะลุวังออกมาเคลื่อนไหวแสดงพฤติกรรมแบบนี้ เขาไม่ได้ออกมาเอง แต่มีขบวนการที่อยู่เบื้องหลัง ขอรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนก่อน และวันที่เราทำคดีให้ถึงที่สุด จะเห็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานละเอียด นอกจากนี้ ได้พูดกับทีมงานว่า อย่าไปเร่งทํา เพราะอาจผิดพลาดเหมือนกับที่ผ่านมา ดังนั้น ขอเวลาอีก 2 วัน จะได้เห็นว่าตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา และจะมีหมายจับต่อไป

ถามว่า มั่นใจใช่หรือไม่ว่าจะมีการจับกุมแน่นอน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า “ใช่ครับ แน่นอน ผมขอยืนยัน” ซึ่งวันที่ตนไปพบผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ท่านก็กำลังรวบรวมหลักฐาน และทราบว่า ได้มีการเร่งรัดสอบสวนเรื่องนี้ให้ละเอียด เพื่อตอบข้อสงสัย ปิดข้อครหา และทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายเกิดความยุติธรรม

ทั้งนี้ ตนไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นประเด็นมาโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่มีการสั่งการใดๆ ทั้งสิ้น เป็นการทำตามพยานหลักฐาน ดังนั้น ขอให้เชื่อมั่นในตำรวจ โดยเฉพาะตน ในการถวายความปลอดภัย ขอบอกกับประชาชนว่า พวกเราดูแลพระองค์ท่านด้วยชีวิต

เมื่อถามว่า กลุ่มทะลุวังยังมีคดีที่รอลงอาญาอยู่อีกหรือไม่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า มีอยู่ แต่ขอเวลา 2 วัน ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานคดีใหม่ และจะแจ้งข้อกล่าวหา หากเรียบร้อย ก็จะแถลงข่าวให้สาธารณะชนรับทราบ และจะมีการพิจารณาขอถอนประกัน

เมื่อถามว่า นอกจากกลุ่มทะลุวังแล้ว จะมีการออกหมายจับบุคคลอื่นที่อยู่เบื้องหลังหรือไม่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า เบื้องต้นเอาเรื่องนี้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน แต่ได้รายงานนายกฯ ไปหมดแล้ว ว่ามีอะไรในเรื่องนี้บ้าง ขอรอให้เรื่องนี้สมบูรณ์ขึ้นอีกหน่อย

เมื่อถามว่า ในช่วงที่รอถอนประกันกลุ่มทะลุวัง หากกลุ่มนี้เคลื่อนไหวแสดงพฤติกรรมแบบนี้อีก จะดำเนินการอย่างไร พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ตำรวจพยายามติดตามดูแลตลอด อย่างเหตุการณ์ที่ทะเลาะวิวาทกับกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ก็เป็นคนละที่กันกับที่มีหมายเสด็จฯ ตำรวจก็ตามมาดูแล ซึ่งการแสดงพฤติกรรมดังกล่าว จะเห็นว่ามีการเตรียมการ โดยจะไม่แสดงพฤติกรรมบางอย่างที่เขาเห็นว่าผิดกฎหมายบางข้อ และตนเชื่อว่ามีคนให้คำแนะนำ

ฟังจากการให้สัมภาษณ์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติดังกล่าวทำให้ทราบว่า การ “ป่วนขบวนเสด็จฯ” มีการทำเป็นขบวนการ และมีการวางแผน สั่งการ ซึ่งก็คงไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพราะรับรู้กันอยู่แล้วว่า นอกเหนือจากการ “ป้อนชุดความคิด” ให้พวกเด็กๆ จนเกิดความรู้สึกในทางลบกับสถาบันฯ และหากเกิดเป็นคดีความขึ้นมาก็จะมีการช่วยเหลือทางด้านหมาย มีกองทุนในการประกันตัวทั้งในชั้นพนักงานสอบสวนและชั้นศาล รวมไปถึงมีองค์กรระหว่างประเทศคอยให้การช่วยเหลือ โดยอ้างในเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพสากล เป็นต้น รวมไปถึงพรรคการเมืองบางพรรคที่เคลื่อนไหวเป็นแนวร่วม ซึ่งหากพิจารณากันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องอ้อมค้อมก็คือ พรรคก้าวไกล และกลุ่มก้าวหน้า นั่นแหละ

ที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของกลุ่ม “ขบวนการสามนิ้ว” ที่มีเป้าหมายไปที่สถาบันฯ ส่วนใหญ่ถูกดำเนินคดีความผิด มาตรา 112 จนล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยออกมาแล้วว่า ห้ามแก้ไข ห้ามยกเลิก และสั่งให้หยุดการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวทันที อีกทั้งยังเห็นว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งกำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนกับพรรคก้าวไกลทั้งพรรค โดยกำลังถูกร้องให้ยุบพรรค และตัดสิทธิ์ทางการเมือง ส.ส.ของพรรคที่เคยเสนอแก้ไข มาตรา 112 แม้ว่าตามกระบวนการต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่

อย่างไรก็ดี มันก็ย่อมเกิดผลกระทบไปทั้ง “ขบวนการ” ก่อนหน้านี้หลายคนเชื่อว่า หากมีการยุบพรรคก้าวไกล จะยิ่งทำให้พรรคนี้ยิ่งโต ทำนอง “ตายสิบเกิดแสน” แต่หากมองอีกมุมหนึ่งมันก็อาจไม่ใช่แบบนั้น ผลอาจออกมาเป็นตรงกันข้าม เพราะภาพของ “พรรคล้มเจ้า” เริ่มถูกมองชัดเจนขึ้น อาจมีการแยกมวลชนออกมา

ขณะเดียวกัน ปรากฏการณ์หลังจากป่วนขบวนเสด็จฯ ของ “ตะวัน” ทำให้เกิดอารมณ์ร่วม เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับมาอย่างรุนแรงแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้มานานมากแล้ว กลายเป็นแรงกดดันที่ทำให้ทุกภาคส่วนในสังคมต้องแสดงออกมา กระทั่ง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต้องเรียกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหารือเป็นการด่วนถึงสองวันติดๆ กัน และมี “แอกชั่น” ออกมาแบบเข้มข้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นแรงกดดันจากสังคมอย่างหนักหน่วงหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่คนส่วนใหญ่ในสังคมรับไม่ได้

อีกทั้งนับจากนี้ไปจะได้เห็นปฏิกิริยาโต้กลับจากสังคมจนทำให้ “ขบวนการสามนิ้ว” ต้องถอยร่นกลับไปเรื่อยๆ หลังจากที่ได้เริ่มเกิดอาการ “ฝ่อ” ลงไป เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในยุคของรัฐบาลที่แล้ว เนื่องจากบรรยากาศและ “เงื่อนไข” ได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะขาดสิ่งเร้าในเรื่องของ “เผด็จการ” อีกทั้งจดจ่ออยู่กับเรื่องปากท้องมากกว่าการหมกมุ่นอยู่กับวาทกรรมการกดทับอะไรนั่น

ดังนั้น หากพิจารณากันแบบรวบรัดนับจากนี้ไป เชื่อว่า กระแสสังคมจะกลับมาเป็นฝ่ายกดดันให้ “ขบวนการสามนิ้ว” ต้องลดการเคลื่อนไหวลงไปกว่าเดิม รวมไปถึงจากเหตุการณ์ “ป่วนขบวนเสด็จฯ” ยังส่งผลกระทบกับบางพรรค โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ที่ทำให้เกิดการ “แยกมวลชน” ออกมา แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่รับรองว่าต้องกระทบแน่นอน!!


กำลังโหลดความคิดเห็น