ข่าวปนคน คนปนข่าว
** นิ่งเฉยมา 6 เดือน พอ “ทักษิณ” ได้พักโทษกลับไปอยู่บ้าน “ก้าวไกล” ก็ดิ้นพล่าน
“ทักษิณ ชินวัตร” ได้รับการพักโทษ กลับไปอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้า หลังอยู่โรงพยาบาลตำรวจมา 180 วัน โดย “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนสุดท้อง เอารถตู้ไปรับออกจากอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา รพ.ตำรวจ เมื่อเวลา 06.09 น. วานนี้ (18 ม.ค.)
มีการเผยแพร่ภาพ “ทักษิณ ใส่เสื้อเขียว มีเฝือกที่คอและแขน โดย “อุ๊งอิ๊ง” นั่งเคียงข้าง ขณะที่รถออกจาก รพ.ตำรวจ เป็นการยืนยันว่า “ทักษิณ”มารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจจริง ไม่ใช่มาแต่ชื่อ
หลังภาพดังล่าวเผยแพร่ออกไป “พิชิต ไชยมงคล” แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่ตามล้างตามเช็ด “ทักษิณ” มาตลอด ก็โพสต์ภาพทักษิณ ขณะนั่งรถออกจากรพ.ตำรวจ พร้อมระบุว่า ...นี่คือหลักฐานที่ยืนยันชัดเจนว่า ทักษิณไม่ได้ป่วยหนักขั้นวิกฤต ตามที่ราชทัณฑ์ คณะแพทย์ รมว.ยุติธรรม กล่าวอ้าง แต่เป็นการ “ป่วยทิพย์”
“พวกคุณสมคบคิดกัน ร่วมกันโกหกสังคม ร่วมกันทำลายกระบวนการยุติธรรมมาตลอด 180 วัน วันนี้มันชัดเจนว่า พวกคุณรับใช้ทักษิณ มากกว่าความถูกต้องของนิติรัฐไทย หลักฐานวันนี้ จะนำพวกคุณเข้าคุกแทนทักษิณ”
แต่ที่น่าสนใจคือ เมื่อ “ทักษิณ”ได้รับการพักโทษ พลพรรคก้าวไกล ก็เรียงหน้ากันออกมาถล่มรัฐบาล และกระบวนการยุติธรรมไทยกันอย่างดุเดือด
เริ่มจากมีการออกแถลงการณ์ในนามพรรคว่า การที่“ทักษิณ”ได้รับอภิสิทธิ์ออกมารักษาตัวที่ รพ.ตำรวจเป็นกรณีพิเศษตลอด180 วัน จนกระทั้งได้พักโทษนั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลปัจจุบัน คำถามคือ แล้วมันสอดคล้องกับหลักการบังคับใช้กฎหมายกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติหรือไม่ มีความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมายหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับนักโทษ และผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองคนอื่นๆ
ก่อนจะตบท้ายว่า รัฐบาลต้องไม่ใช้ระบบสองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม หรือให้ใครคนใดคนหนึ่งได้รับอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นในทางกฎหมาย แต่ต้องยึดแนวทางที่อำนวยความยุติธรรมให้แก่ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
จากนั้น “ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังออกมาตอกย้ำว่า กระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐานเช่นนี้ เรียกว่าเป็น “ระบบนิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชน” ขณะที่สังคมคาดหวังว่า เมื่อมีรัฐบาลชุดใหม่ จะทำให้สังคมเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบประชาธิปไตยที่ดี มีการอำนวยความยุติธรรมให้กับคนมากขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ตอกย้ำปัญหาเดิมๆ ให้หนักหน่วงมากขึ้น
ส่วนการออกมาของ “ทักษิณ” จะส่งผลให้คะแนนนิยมพรรคก้าวไกล ลดลงหรือไม่ “ชัยธวัช”บอกว่า เป็นคนละเรื่องกัน เพราะความนิยมของพรรคก้าวไกล ขึ้นอยู่กับการทำงานของพรรคเอง ว่าจะทำงานได้อย่างที่ประชาชนคาดหวังหรือไม่
“รังสิมันต์ โรม”สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ก็เน้นย้ำเรื่อง “ทักษิณป่วยทิพย์”...การที่ “ทักษิณ” มีภาพแค่เพียงใส่เฝือก เหมือนกับคอซ้น เมื่อภาพเหล่านี้ออกมา มันทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความโปร่งใส ของการรักษาตัวของ “ทักษิณ” ซึ่งความสงสัยแบบนี้ มันทำลายความน่าเชื่อถือของเรือนจำ ของกระบวนการยุติธรรม
หลายคนไม่ได้ตั้งข้อสังเกตแค่การใส่เฝือก หรือดามคอเท่านั้น แต่ตั้งข้อสังเกตว่า มีการดูแลปรนนิบัติเป็นอย่างดี แม้กระทั่งการตัดผม ทำให้คนในสังคมเกิดความรู้สึกว่า การที่ “ทักษิณ” ไปรักษาตัว เอาเข้าจริงกลายเป็นสิทธิพิเศษ สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถทำได้กัน กระบวนการยุติธรรม ก็ถูกทำลาย พรรคก้าวไกลจะเดินหน้าตรวจสอบเรื่องนี้
ขณะที่ “อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล” อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่ห่างหายจากหน้าสื่อไปนาน ก็ออกมาฑำสต์ถึงเรื่องนี้ว่า ว่า “ปลอกคอ ปลอกแขน แสดงออกเชิงสัญลักษณ์? # ทักษิณกลับบ้าน”
... “พี่น้องครับ ถ้าเสียงปืนแตกนัดแรกเมื่อไร ผมจะกลับมานำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพฯเอง... กูรู้สึกโดนหลอกมาชั่วชีวิต”
นอกจากนี้ “อมรัตน์” ยังได้แชร์ข่าวครอบครัวชินวัตร ติดป้ายต้อนนายทักษิณกลับบ้านจันทร์ส่องหล้า พร้อมแคปชันว่า “ดิฉันน้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวดกับข่าวอภิสิทธิ์ชนของสังคมนี้ เมื่อไหร่ อานนท์ และคนอื่นๆ ที่แค่คิดต่างจะได้กลับบ้าน #ยุติธรรมไม่มี สามัคคีไม่เกิด # ทักษิณ”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา “พรรคก้าวไกล” แทบไม่มีการเคลื่อนไหวในเรื่องที่ “ทักษิณ” อยู่โรงพยาบาล โดยไม่ยอบเข้าคุกแม้แต่วันเดียว กระทั่ง “ทักษิณ”ได้รับการพักโทษ กลับไปอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้า และคาดว่าจะขับเคลื่อนการเมืองด้วยตัวเอง ทำให้พรรคก้าวไกลอยู่เฉยไม่ได้ ต้องออกมาเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาล ซึ่งเท่ากับโจมตีพรรคเพื่อไทย ที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองในอนาคตนั่นเอง และประเด็นที่เด่นชัด กินใจคนในสังคมก็คือ กระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน !!
นอกจากนี้ การออกมาโจมตีเรื่อง “ทักษิณ” ยังเป็นการกลบกระแสสังคม ที่ชี้ว่าพรรคก้าวไกลอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของ “ตะวัน” และ “กลุ่มทะลุวัง” ที่ป่วนขบวนเสด็จฯ จนเกิดกระแสม่วงทั้งแผ่นดินอยู่ในขณะนี้
สำหรับความเคลื่อนไหวในซีกรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี บอกว่า ยินดีที่ “ทักษิณ” ได้กลับบ้าน ซึ่งตนเองยังไม่ได้โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับ “อุ๊งอิ๊ง” แต่ถือว่าใจถึงใจ อยู่แล้ว
ส่วนที่มีการวิพากวิจารณ์ว่า หลังจากนี้ “ศูนย์บัญชาการ”จะย้ายจากทำเนียบฯ ไปอยู่ที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” และประเทศไทยจะมีนายกฯ 2คนนั้น “เศรษฐา”บอกว่า เรื่องนี้อย่ามาดรามากันเลยดีกว่า ว่ามีนายกฯ กี่คน อะไร อย่างไร เพราะรัฐธรรมนูญไทย ก็ระบุแล้วว่า มีนายกฯอยู่คนเดียว และมีคนเดียวก็คือผมนี่แหละ....
ขณะที่ “สิงห์หนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เรื่องทักษิณได้กลับไปอยู่บ้าน ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และทางครอบครัว ก็คงมีความดีใจ และมีความสุข และเชื่อว่าสถานการณ์การเมืองหลังจากนี้ ก็คงปกติ โดยรัฐบาลมี “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกฯ และรมว.คลัง บริหารอยู่แล้ว พวกเราก็ช่วยกันทำงาน
ส่วนจะไปแสดงความยินดีเมื่อไรนั้น “สิงห์หนู” บอกว่า ช่วงนี้เป็นเวลาที่ท่านจะต้องพักฟื้น ถ้าท่านหายดีแล้วตนเองก็คงจะไปกราบ ในฐานะที่ท่านเคยเป็นเจ้านายเก่า
เช่นเดียวกับ “วราวุธ ศิลปอาชา” * รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา บอกว่า หลังจากนี้ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 คงจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง และ “อุ๊งอิ๊ง” ก็จะมีที่ปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนตนเองก็จะหาเวลา ขอนัดเข้าไปเยี่ยมไปสวัสดี และถามไถ่อาการป่วย ตามประสาอาหลาน
ไม่อาจปฏิเสธว่า เมื่อ “ทักษิณ” ได้รับการพักโทษ การเมืองไทยก็คึกคักขึ้นมาทันที และถนนทุกสายจะมุ่งไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า อีกครั้ง
** "ปลูกป่าทิพย์" 5พันล้าน ช้างตายทั้งตัว ฝ่ายบริหาร กฟผ.ว้าวุ่นหนัก หาใบบัวมาปิด!?
กลายเป็นเรื่องร้อนลวกเก้าอี้นั่งไม่ติดของฝ่ายบริหาร กฟผ. หรือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หลังรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" โดย สนธิ ลิ้มทองกุล เปิดประเด็น “โครงการปลูกป่าล้านไร่” ที่ปลูกไปปลูกมากลับเป็น “ป่าทิพย์”
ฟังว่าฝ่ายบริหารว้าวุ่นกับหนัก ช้างตายทั้งตัวจะหาใบบัวมาปิด แทนที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน ตรวจสอบ กลับคิดหาเหตุผลจะ "แถ-ลง" ต่อประชาชนอย่างไร? ไม่ให้เข้าตัว
แว่วว่าในการแถลงข่าววันจันทร์นี้ (19ก.พ.) จะโบยใบ้ "โยนชั่ว" มั่วว่าเป็นความขัดแย้งของลูกน้องผู้ปฏิบัติงาน
แถมยังสั่งกันเป็นการภายในว่า อย่าไปฟังสื่อเพราะเอาเฟกนิวส์มาสร้างความเกลียดชังให้องค์กรเป็นแพะค่าไฟแพง
อุเหม่..งานนี้กลิ่นมันโชยออกมา งบประมาณก็ไม่ใช่น้อย ปลูกกันยาวๆ 10ปี 5.2 พันล้าน ผู้ใช้ไฟมองตากันปริบๆ คนใหญ่คนโตใน กฟผ. งุบงิบกินกันในที่ลับหรือไม่ ?!
ที่มาที่ไปของ"ป่าทิพย์" นี้เริ่มเมื่อปี 2565 ยุคที่ "บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร" เป็นผู้ว่าการ กฟผ. ได้ร่วมกับผู้บริหาร ไปลงนามความร่วมมือกับกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และอื่นๆจัดทำโครงการปลูกป่าล้านไร่นี้ขึ้น
รูปแบบก็คือ กฟผ. มีแผนปลูกป่าปีละ 100,000 ไร่ เป็นระยะเวลา 10 ปี รวม 1 ล้านไร่ ทั้งป่าอนุรักษ์ ป่าชุมชน ป่าเศรษฐกิจ และป่าชายเลน โดยต้องเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ไม่มีบ้านคนอาศัยอยู่ และไม่ใช่ที่ดินทำกินของชาวบ้าน
งบประมาณแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก ค่าปลูกต้นไม้ในปีแรก ตั้งราคากลางไว้ที่ 4,020 บาทต่อไร่
ถ้าสมมติว่าปลูก 100,000 ไร่ เท่ากับปีละประมาณ 402 ล้านบาท ปลูกต่อเนื่อง 10 ปี รวมแล้วประมาณ 4,020 ล้านบาท
ส่วนที่สอง ค่าบำรุงรักษาต้นไม้เป็นเวลา 10 ปี ตั้งราคากลางไว้ที่ 1,250 บาทต่อไร่ ถ้าสมมติว่าปลูก 100,000 ไร่ เท่ากับปีละประมาณ 125 ล้านบาท ดูแลไปต่อเนื่อง 10 ปี รวมแล้วประมาณ 1,250 ล้านบาท
เท่ากับว่า กฟผ. ต้องใช้งบประมาณในโครงการ “ปลูกป่าล้านไร่” เฉพาะปลูกป่าและบำรุงรักษาป่า ถ้าสมมติว่าปลูก 1,000,000 ไร่ รวมแล้วประมาณ 5,270 ล้านบาท
เรื่องนี้ มีประเด็นให้ตรวจสอบหลายจุด ตั้งแต่เริ่มต้น ขั้นตอนปลูกป่าที่ว่าเป็น "ป่าทิพย์" นั้น พอกรรมการลงพื้นที่ไปตรวจสอบ พบว่าป่าที่ปลูกมีต้นไม้เฉพาะด้านหน้า แต่เข้าไปด้านในกลับไม่ได้มีการปลูกป่าเป็นไปตามข้อตกลง หรือ TOR
ว่ากันว่า เมื่อกรรมการตรวจรับงานไม่ผ่านถึง 3 ครั้ง และได้ร้องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชาว่า พบการทุจริต ปรากฏว่า ถูกกลั่นแกล้งด้วยการสั่งย้ายให้ไปอยู่ในตำแหน่งอื่น เพื่อกีดกันไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานโครงการปลูกป่า แล้วรีบเปลี่ยนกรรมการตรวจรับงานชุดใหม่ เพื่อให้การตรวจรับงานของโครงการผ่านทุกพื้นที่และเบิกเงินจาก กฟผ. ได้
ในช่วงปีแรกที่มีการดำเนินการ 97,000 ไร่ เห็นว่ามีคนเข้าไปตรวจสอบแค่ 2 คน!
เรียกว่า อะเมซซิ่งไทยแลนด์ เดินตรวจกันยังไงไหว 2 คน ถ้าไม่ใช่เหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ต้องมีวิชากระบวนท่าที่พิสดารพันลึก จนสามารถทำให้ผ่านเบิกงบมาถลุงได้
สรุปว่า ถ้าโปร่งใส ไม่กลัวความจริง ผู้บริหารก็ต้องให้ตรวจสอบได้
ฟังว่า หนึ่งในฝ่ายบริหาร "ชัยวุฒิ หลักเมือง" ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารจัดการความยั่งยืน กฟผ. ก็สนิทสนมเป็นเพื่อนรักกับ "อธิบดีกรมป่าไม้" สุรชัย อจลบุญ ไม่ลองคุยกันหาทางตรวจสอบเรื่องนี้กันอย่างไรจะดีกว่า หรือไม่?
ปลูกป่าล้านไร่ยังไงให้เป็น “ป่าทิพย์” หรือจะรอให้มีใครไปยื่นป.ป.ช. ถึงตอนนั้นคงจะมีใครหนาวๆ ร้อนๆ แน่ๆ.