ก้าวไกล เสนอญัตติตั้งกมธ.วิสามัญโอนถ่ายกิจการกองทัพ เปิด 5 แหล่งขุมทรัพย์เสือนอนกิน ทำนายพลเป็นเศรษฐีพันล้าน อัดธุรกิจกองทัพบ่อนทำลายชาติ-ตรวจสอบไม่ได้ องค์กรอิสระน้ำยังท่วมปาก ขู่ “สุทิน” ไม่ปล่อยข้อมูลเจอซักฟอก เหน็บนายกฯได้แค่อุทาน อุ๊ยรับไม่ได้ “ธนาธร” โผล่นั่งกมธ.
เมื่อวันที่ (25 ม.ค.) เวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติ ขอให้สภาฯตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนหน้าที่การให้บริการไฟฟ้าที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการของกองทัพไปอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของหน่วยงานท่เกี่ยวข้องโดยตรง รวมถึงการถ่ายโอนธุรกิจต่างๆของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของรัฐบาล ของน.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นผู้เสนอ และรวมญัตติในทำนองเดียวกันพิจารณาไปพร้อมกัน อีก2ฉบับ คือญัตติขอให้สภาฯตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการขอใช้ที่ดินราชพัสดุสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ ในความครอบครองของกองทัพอากาศ เพื่อให้เป็นสวนสาธารณะในการดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ของนายเชตวัน เตือประโคน สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล เป็นผู้เสนอ และญัตติขอให้สภาฯตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแนวทางการย้ายสนามกอล์ฟกานตรัตน์ ออกมาพื้นที่แอร์ไซส์ สนามบินดอนเมือง เพื่อความปลอดภัยตามมาตรฐานองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศของนายเอกราช อุดมอำนวย สส.กทม.พรรคก้าวไกล เป็นผู้เสนอ
โดยน.ส.เบญจา อภิปรายเหตุผลว่า ขอเปิดกรุสมบัติและอาณาจักรลึกลับขุมทรัพย์ธุรกิจในกองทัพ รวมถึงความมั่งคั่งของนายพลในกองทัพไทย และรายได้ต่างๆในธุรกิจทั้งหมด ตลอดจนการเติบโตของนายพล บนเส้นทางเศรษฐีสุดลี้ลับที่แทบจะจับต้องอะไรไม่ได้เลย และพบว่าทรัพสินของนายพลหลังเกษียณ ลงจากตำแหน่งผบ.ทบ.และลงจากตำแหน่งทางการเมือง มีมูลค่าสูงมาก บางรายมี 200 ล้านบาท 300 ล้านบาท 500 ล้านบาท และบางรายมี 800 ล้านบาท และประเทศไทยยังมีนายพลที่มั่งคั่งอีกว่า 3,000 นาย ที่รวยตั้งแต่ระดับ 10 ล้านบาท ไปจนถึงหลัก 100 ล้านบาท 1,000 ล้านบาท ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นทหารได้อะไรมากกว่าที่คิดจริงๆ
น.ส.เบญจา กล่าวต่อว่า แหล่งขุมทรัพย์ลึกลับกองทัพที่เป็นความมั่งคั่งของนายพล ทำให้นายพลหลายคนมีบัญชีทรัพย์สินระดับหลายร้อยล้านบาท ขุมทรัพย์กองทัพที่เป็นเส้นทางเศรษฐีนายพลคือ 1.ที่ราชพัสดุ กองทัพมีที่ดินราชพัสดุทั่วประเทศ 7.5ล้านไร่ โดยกองทัพนำมาสร้างเป็นปั้มน้ำมัน 150 แห่ง สนามกอล์ฟ 74 แห่ง และยังมีรายได้ที่มากกว่าหลายพันล้านบาทต่อปี ยังมีร้านสะดวกซื้อของเจ้าสัวรายหนึ่งที่ผูกขาดร้านสวัสดิการในค่ายทหาร มีธุรกิจตลาดนัด สโมสร โรงแรม สนามมวย สนามม้า สถานีโทรทัศน์ บ้านพักตากอากาศ ใช้ที่ดินกองทัพไปจัดสรรให้กำลังพลซื้อบ้าน ใครจะร่วมโครงการกู้เงินซื้อบ้านต้องมีผู้บังคับบัญชาเซ็นให้ ผู้ได้ประโยชน์จากการเอาที่ดินรัฐไปให้กำลังพลคือ ผู้บังคับบัญชาที่สูบเลือดสูบเนื้อจากชั้นผู้น้อย
2.บอร์ดรัฐวิสาหกิจ 56 แห่ง เป็นขุมทรัพย์ที่ทหารมาเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็นงานที่ไม่ตรงความชำนาญทหาร ทั้งบอร์ดรถไฟ การท่องเที่ยว ปตท. ธนาคารต่างๆ บางคนเป็นบอร์ดหลายแห่ง งานสบาย ได้เงินหลายตำแหน่งเป็นเส้นทางเศรษฐีนายพล ไม่เคยตรวจสอบได้ 3.งบประมาณกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหน่วยใดตรวจสอบได้ เป็นต้นเหตุทุจริต มีเงินทอนจัดซื้ออาวุธ ตั้งบริษัทของทหารรับงานในกองทัพ 4.คลื่นวิทยุและโทรทัศน์ของกองทัพ 205 คลื่น ซึ่งมากสุดในประเทศ เป็นเสือนอนกินปล่อยเช่าคลื่น ได้เงินมหาศาล แต่ไม่เคยเปิดเผยเงินค่าเช่าคลื่น รวมถึงค่าเช่าโครงข่ายทีวีดิจิทัล ที่ททบ.5ได้ค่าเช่าโครงข่าย 1,008 ล้านบาทต่อปี เป็นเสือนอนกินรับรายได้จากคลื่นวิทยุ-โทรทัศน์มหาศาล และ5.ขุมทรัพย์ธุรกิจพลังงาน ทั้งน้ำมัน ไฟฟ้า โซลาร์ฟาร์ม ที่กองทัพมีกิจการเป็นของตัวเอง ตนจึงเห็นว่าควรถ่ายโอนกิจการต่างๆให้มาอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของรัฐบาล
จากนั้นเปิดให้สมาชิกอภิปรายแสดงความคิดเห็น โดยนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายสนับสนุน ว่า ธุรกิจกองทัพไม่ใช่หน้าที่ของทหาร และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศแต่อย่างใด แต่เป็นกลไกที่ทำให้กองทัพเข้ามาพัวพันกับการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศ ในลักษณะรัฐซ้อนรัฐ และเป็นแหล่งรายได้นอกระบบของนายพล เครือข่ายอุปถัมภ์ที่อยู่หลังม่านการเมือง กลายเป็นวัฒนธรรมสกปรกที่ส่งต่อกันจากรุ่นสู่รุ่น ขาดความโปร่งใส แม้แต่องค์กรอิสระก็น้ำท่วมปาก กองทัพระบุว่าตรวจสอบตัวเอง แท้จริงแล้วคำว่าตรวจสอบตัวเองมันก็คือการทำตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ โดยไม่มีการตรวจสอบอะไร ทหารมักจะเอาความมั่นคงของประเทศมาเป็นข้ออ้างยืนยันว่า ประเทศไทยในปัจจุบันเมื่อเทียบกับโลก เราอยู่ในสถานะที่ไม่มั่นคง และธุรกิจกองทัพเป็นส่วนหนึ่งที่เป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศเสียเอง
“ดัชนีชี้วัดคอร์รัปชันกองทัพและหน่วยงานความมั่นคง ผลการประเมินปี 2020 กลับงามไส้ ประเทศไทยถูกประเมินอยู่ในระดับเสี่ยงมาก ประชาชนเข้าไม่ถึงงบประมาณของกองทัพ สะท้อนว่า กองทัพในปัจจุบันขาดสำนึกว่าเงินที่ใช้จ่ายอยู่ในทุกวันนี้เป็นเงินภาษีของพี่น้องประชาชน นอกจากนี้กองทัพและกระทรวงกลาโหมไม่เคยให้ความร่วมมือกับผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหาร ที่ผมเป็นประธาน เดี๋ยวท่านประธานฯ จะรู้ว่าประธานกมธ.ฯที่ชื่อวิโรจน์ จะจัดการกับรัฐมนตรีที่ชื่อสุทินอย่างไร และหลายครั้งที่หน่วยงานกองทัพไม่ให้ข้อมูลกับกมธ.ฯ หน้าดื้อตาใส ซึ่งเราไม่ยอม โดยมีการทำหนังสือทวงถามกับกระทรวง 3 ครั้ง และจะมีหนังสือจากผม ส่งตรงถึงนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ว่า ขอให้ท่านเร่งสั่งการให้ส่งข้อมูลมาโดยพลัน และมีเส้นตายสุดท้ายจริงๆ เพื่อยืนยันว่าถ้ายังไม่ส่งมา ก็ไม่ใช่แค่หน่วยงานในสังกัดเท่านั้นที่ไม่ให้ความร่วมมือกับกมธ.ฯ แม้แต่รัฐมนตรีที่ชื่อสุทิน ก็มีเจตนาไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ต้องห่วงครับท่านประธานฯ เจอผมอภิปรายไม่ไว้วางใจแน่นอน” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า งบกลาโหมถูกยกเว้นการรายงานอย่างที่ควรจะเป็นตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ต่างจากกระทรวงอื่น “โอ้โฮ ได้อภิสิทธิ์อีก” ซึ่งประชาชนไม่รู้ว่าธุรกิจกองทัพมีรายได้เท่าไหร่ และเรื่องนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะประธานนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เคยทราบหรือเคยใส่ใจหรือไม่ หรือพอทราบแล้วก็อุทานว่า “อุ๊ย ผมรับไม่ได้” ประชาชนเขารับไม่ได้มาตั้งนานแล้วท่านนายกฯ อย่างไรก็ตาม ตนสนับสนุนให้มีการตั้งกมธ.วิสามัญฯ รวมทั้งให้จัดการเงินนอกงบประมาณอย่างโปร่งใส ไม่ปล่อยให้เสนาพาณิชย์กลายเป็นบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ
หลังสมาชิกอภิปรายเสร็จสิ้นที่ประชุม นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประที่ประชุม แจ้งว่า เท่าที่ฟังดูแล้วสมาชิกทุกคนเห็นตรงกันให้ตั้งกมธ.วิสามัญ จึงถือว่าที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้งกมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปอยู่หน่วยงานอื่น จำนวน 25 คน โดย กมธ.ในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล มีชื่อนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า มาเป็นกมธ.ด้วย โดยมีระยะเวลาพิจารณา 90 วัน