xs
xsm
sm
md
lg

โธ่ถังกะละมังดีเอสไอ เดินตามเกม "สยามราช" นักร้องมั่ว มัดรวมคดี "สต็อกทิพย์" 2 พันล้าน แคนนอนสรรหา CEOใหม่ปตท. "ยุทธนา" ส่อเจตนาอะไรวานบอก!!?**“พิธา”ลุ้น ร่วง หรือรอด จากปมถือหุ้นไอทีวี บ่ายพรุ่งนี้ (24 ม.ค.) ได้รู้กัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว


**โธ่ถังกะละมังดีเอสไอ เดินตามเกม "สยามราช" นักร้องมั่ว มัดรวมคดี "สต็อกทิพย์" 2 พันล้าน แคนนอนสรรหา CEOใหม่ปตท. "ยุทธนา" ส่อเจตนาอะไรวานบอก!!?


มาว่ากันต่อถึง “สยามราช ผ่องสกุล” ผู้อ้างว่ามีส่วนได้ส่วนเสียต่อการสรรหา ผู้ว่าฯปตท.คนใหม่ ที่ใกล้จะทราบผลการสรรหาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ในฐานะผู้ถือหุ้นยื่นหนังสือกดดันไปที่บอร์ดสรรหา และบอร์ดปตท. หากเลือกผู้สมัครบางราย ที่ตัวเองกล่าวหาไว้กับดีเอสไอ จะมีความผิดโทษฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ และช่วยเหลือปกปิดข้อมูลให้กัน

คนทั่วไปถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็อาจจะมองว่าเป็นเรื่องใช้สิทธิ์ปกติธรรมดา แต่หากทราบว่า “สยามราช” เป็นใคร? จะถึงบางอ้อทันที

“สยามราช” ไม่ใช่นักร้องที่หิวแสงโดยทั่วไป แต่จะเลือกเคลื่อนไหวหาแสงเจาะจงเฉพาะเรื่องของปตท.

เรียกว่า เป็นนักร้องขาประจำหน้าช้ำที่ร้องเรียนเรื่องปตท.อยู่คนเดียวโด่ๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

“สยามราช” นั้นเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ของ “นางแนนซี่ มาตาร์ซุตะ” หนึ่งในผู้ที่ถูกป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาในคดีทุจริตปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซีย ที่ ปตท.เป็นผู้เสียหายกว่า 20,000 ล้านบาท และยังเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับตัวละคร “คดีสต็อกทิพย์ หรือ วัตถุดิบในคลังสินค้าไม่มีอยู่จริง ของ GGC บริษัทลูกของปตท. มูลค่าความเสียหายอีกกว่า 2,000 ล้านบาทอีกต่างหาก

เมื่อใดที่คดีสองคดี ที่มีกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกันซึ่งชาวปตท.เรียกขานว่า “แก๊งสวาปา(ล์)ม” มีความคืบหน้า “สยามราช”ก็มักจะโผล่มาทำหน้าที่ “นักร้อง” ยื่นหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานต่างๆ เข้าสกัด

ทว่า หน่วยงานอย่างเช่น ก.ล.ต. และ บก.ปอศ. ที่รับข้อร้องเรียนจาก สยามราช รับไว้พิจารณาไปดูแล้วก็ไม่มีข้อสังเกต เพิ่มเติม หรือ ไม่พบว่า มีการกระทำตามที่สยามราชร้องเรียน จึงได้ยุติเรื่องร้องเรียนทุกเรื่อง

พูดง่ายๆ “สยามราช” ร้องรื่องอะไรไปก็ไม่มีประเด็น

โดนตีตกก็ส่วนหนึ่ง ในข้อร้องเรียนของนักร้องขาประจำมีคนจับพิรุธได้ว่า เอาเข้าจริงๆ “สยามราช ผ่องสกุล” เพิ่งเข้าซื้อหุ้นของปตท. PTTGC และ GGC ในช่วงเดือนมีนาคม 2563 ถึงเดือนมีนาคม 2564 โดยถือหุ้นในบริษัททั้งสาม เพียงบริษัทละ 100 หุ้น แต่กลับนำเรื่องที่เกิดตั้งแต่ปี 2550 – 2552 และ เกิดเมื่อปี 2561 มายื่นเป็นข้อร้องเรียนฯ !!

เรียกว่า ร้องเรียนเรื่องย้อนหลังก่อนที่ตัวเองที่จะเข้ามาถือหุ้นมีคำถาม ถามว่าคนปกติเขาทำแบบนี้หรือ? หากไม่มีวาระซ่อนเร้น

อย่างที่บอกไป “สยามราช” นอกจากเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ของ นางแนนซี่ มาตาซุตะ ผู้ถูกกล่าวหาคดีทุจริตปาล์มอินโดฯแล้วในคดีดังกล่าว ป.ป.ช. ยังได้แจ้งข้อกล่าวหา “ธนกร นันที” ซึ่งน่าจะมีส่วนเป็นเจ้าของกลุ่มบริษัท GI โดยธนกรมีพี่สาวชื่อ “นางธนิภา พวงจำปา” ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการของ “บริษัท จีไอ กรีน ปาล์ม ออยล์ จำกัด” ซึ่ง GGC และ สำนักงาน ก.ล.ต.ได้ร้องทุกข์ต่อ บก. ปอศ. ให้ดำเนินคดีกับบุคคลทั้งสองเนื่องจากทำให้ GGC เสียหายจากกรณี “สต็อกทิพย์” ของ GGC ในปี 2561

นอกจากนี้ “นางธนิภา พวงจำปา” ยังเข้าไปเกี่ยวพันโดยเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงของบริษัทที่ฮ่องกงซึ่งได้รับเงินค่าจ้างจาก PT.KPI หรือ “Mr.บูฮัล” ซึ่งโครงการ PT.KPI นี้เป็นหนึ่งในโครงการปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซียที่ PTTGE ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ ปตท. ถือหุ้นทั้งหมด ได้เข้าซื้อ

เมื่อ ก.ล.ต. และ บก. ปอศ.เซย์โน ข้อร้องเรียนของ “สยามราช” แถมดำเนินคดีกับพวกพ้องแก๊งสวาปาล์ม อีกต่างหาก สยามราช จึงไม่ละความพยายามโร่ไปยื่นเรื่องกับ “ดีเอสไอ”

แน่นอนว่า วงในปตท.เชื่อว่า ข้อร้องเรียนของสยามราช ต่อดีเอสไอ เป็นข้อร้องเรียนที่เหมือนเดิมที่เคยยื่นกับก.ล.ต.และ บก.ปอศ. แต่โดนตีตกนั่นเอง และผู้บริหารระดับสูงบริษัทในกลุ่ม ปตท.ที่เขาร้องย่อมต้องเป็น “ปฏิปักษ์” กับฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังสยามราช โดยไม่ต้องสงสัย

ระหว่างกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังสยามราช ที่ว่ากันว่า มีตั้งแต่อดีตผู้บริหารระดับสูงของ ปตท.และ นักการเมืองระดับอดีตรัฐมนตรี ก็สงสัยกันต่อไปว่า จะมีความสัมพันธ์พิเศษกับคนใหญ่คนโตในดีเอสไอ หรือ คนมากบารมีที่ดีเอสไอเกรงใจหรือไม่ ? ...ไม่รู้

ที่แน่ๆ พอ “สยามราช” ยื่นปุ๊ป ดีเอสไอ รับลูกปั๊บ เดินหน้าในทันที!!

ทั้งๆที่สยามราชออกลูกมั่วมา DSI ก็ลุยถั่วตาม


ลุยถั่วยังไง? ก็คือ จับคดีสต็อกทิพย์ GGC ที่ ปตท.และ ก.ล.ต.ร่วมแจ้งความร้องทุกข์ไปที่ บก.ปอศ. เมื่อปี 61 โดย บก.ปอศ. รับทำคดีรวม 8 คดี ส่งอัยการฟ้องศาล 3 คดี ตัดสินแล้ว 1 คดี ลงโทษจำคุกจำเลยส่งอัยการเพิ่ม 1 คดี

เมื่อเร็วๆนี้ ปลายปีที่ผ่านมานี้เองอีก 4 คดีสอบเสร็จแล้ว และกำลังอยู่ระหว่างการเรียกจำเลยมารับทราบข้อกล่าวหา

ดีเอสไอ เรียกสำนวนคดีสต็อกทิพย์จากบก.ปอศ.ที่อยู่ระหว่างแจ้งข้อกล่าวหามามั่วรวมกันกับข้อร้องเรียนสยามราชที่ไม่เกี่ยวกันเลยหน้าตาเฉย

“สยามราช” ย่อมคิดคำนวณไว้อยู่แล้ว "ยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว"

หนึ่งได้ช่วยเหลือพวกพ้องที่ต้องคดีสต็อกทิพย์

สอง คดีนี้แคนนอนไปถึงผู้สมัครบางรายที่เป็นแคนดิเดต ผู้ว่าฯปตท.คนใหม่

งานนี้ต้องถามดังๆไปยัง “พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” รักษาการอธิบดีดีเอสไอ เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร ?

“พ.ต.ต.ยุทธนา” มีอะไรกับ “สยามราช” หรือคนอยู่เบื้องหลังนักรัองคนนี้หรือไม่?

ถ้ายังจำได้เมื่อ 19 มิถุนายน 2566 “พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษขณะนั้น เดินทางเข้าพบ “อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยได้รับการต้อนรับเต็มที่

“พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” ระบุในตอนนั้นว่า ดีเอสไอ เคลื่อนไหวเพราะหลังจากมี “ผู้ถือหุ้น” ซึ่งทราบภายหลังต่อมาว่าก็คือ “สยามราช” นี่เองกล่าวโทษต่อดีเอสไอ เพื่อให้ตรวจสอบขบวนการทุจริตและฟอกเงินซึ่งผู้เกี่ยวข้องเป็นผู้บริหารระดับสูงบริษัทในกลุ่ม ปตท.

ทั้งตั้งคณะพนักงานสืบสวนเพื่อแสวงหาพยานหลักฐาน ซึ่ง “พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” เปรยๆในตอนนั้นอีกว่า อาจจะมีมูลเข้าข่ายผิดปกติ

มาวันนี้ ...วันที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในปตท. จากการสรรหาผู้ว่าฯปตท.คนใหม่

เห็นว่า ดีเอสไอ กลับมาฟิตเครื่องติดอีกครั้ง โดย “พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” วันนี้อัปสถานะได้อานิสงส์ จากอธิบดีคนก่อนโดนพิษ "หมูเถื่อน" เล่นงานเด้งออกไปปรับขึ้นมาเป็น “รักษาการ” กระเหี้ยนกระหือรือ กับการขยายผลตามข้อร้องเรียนสยามราชอีกครั้ง

นัยยะนี้หมายความว่า อย่างไร

ตามหลักกระบวนการที่สุจริต จะไม่ใช่ร้องทุกข์ไปทั่ว และผู้ร้องมีแผล!!

สาธุชนทั้งหลายย่อมดูรู้ ดูออก ด้วยสติปัญญากันแล้วกระมัง...โธ่ถังกะละมัง ดีเอสไอ.


**“พิธา”ลุ้น ร่วง หรือรอด จากปมถือหุ้นไอทีวี บ่ายพรุ่งนี้ (24 ม.ค.) ได้รู้กัน

บ่ายวันที่ 24 มกราคม นี้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และพลพรรคก้าวไกล ต้องลุ้นระทึก เมื่อศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาวินิจฉัยคดี “พิธา” ถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น ที่ยังไม่รู้จะออกหัว ออกก้อย!!

การถือหุ้น “ไอทีวี” ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชน อันเป็นเหตุให้มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญและทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งส.ส. ตามรธน.มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) หรือไม่

เบื้องต้นศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ “พิธา” หยุดปฏิบัติหน้าที่สส. เมื่อวันที่ 19 ก.ค.66

ในขณะที่ พิธา ถูกเสนอชื่อโหวตนายกรัฐมนตรี กระทั่ง “พิธา” ได้ลาออกจากหัวหน้าพรรค มาเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล

ก่อนถึงวันตัดสิน ไม่กี่วัน พรรคก้าวไกล ได้เผยแพร่คลิปความยาว 7.03 นาที เปิดหลักฐาน ข้อเท็จจริง พร้อมฟันธงแบบให้กำลังใจ “ด้อมส้ม” ว่า “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และสส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล จะรอดพ้นจาก คดีหุ้นสื่อ (ไอทีวี) ได้กลับมาเป็น สส. ได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในรัฐสภาอีกครั้งอย่างแน่นอน

คลิปดังกล่าวเกริ่นนำ โดยยกผลโพลต่างๆ สะท้อนความนิยมของ “พิธา” และพรรคก้าวไกลในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จนกระทั่งพรรคก้าวไกล คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อ 24 พ.ค.66 หลังจากนั้นก็มีกระบวนการพยายามทำให้ “พิธา” หลุดจากการเป็น สส. ส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อการโหวตนายกรัฐมนตรี ด้วยการกล่าวหาว่า “พิธา” ถือหุ้นสื่อมวลชน “ไอทีวี” อันเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ


จากนั้นพรรคก้าวไกล ก็เปิดคลิปวิดีโอ ขณะ “ไอทีวี” ออกอากาศวันสุดท้าย คือวันที่ 14 มกราคม 2551 ก่อนหลัง เวลา 00.00 น. และระบุว่า นั่นเป็นการปิดตำนาน “ไอทีวี” ไปตลอดกาล

พรรคก้าวไกล มั่นใจว่า “พิธา” จะไม่ถูกตัดสิทธิ หรือหลุดจากการเป็นสส. เพราะ “ไอทีวี” ไม่ใช่สื่อมวลชนแล้ว ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ไม่มีใบอนุญาตคลื่นความถี่ เนื่องจากไอทีวี ถูกรัฐบาลไทยแจ้งยกเลิกสัญญาตั้งแต่ พ.ศ.2550

2. ภายหลังมีการออก พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย ก่อให้เกิด “สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส” ส่งผลให้ไอทีวี ต้องเลิกประกอบกิจการโทรทัศน์ รวมถึงยังมีคดีพิพาทเกี่ยวกับค่าเสียหายในศาลปกครอง กับรัฐบาลไทยด้วย

3. คิมห์ ประธานการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ยืนยันต่อศาลว่า “ไอทีวี” ไม่มีพนักงาน ไม่มีรายได้จากการทำสื่อ ไม่มีการทำสื่อ และยังไม่มีแผนจะทำสื่อ และถ้ายึดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ ก็ไม่น่าเป็นห่วง เพราะศาลฯ เคยมีความเห็นว่า หากไม่มีรายได้จากการทำสื่อ ก็ไม่ถือเป็นสื่อ

4. ไม่มีหลักฐานจดแจ้งการพิมพ์ จึงไม่อาจเป็นผู้ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์อื่นได้
5. ไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการภาพยนตร์ วีดิทัศน์ และสื่อโฆษณา จึงไม่อาจประกอบกิจการดังกล่าวได้
6. ศาลปกกครองสูงสุดเคยชี้ว่าไอทีวี ไม่ปรากฏหลักฐานการดำเนินการสื่อวิทยุโทรทัศน์แล้ว

หรือต่อให้สมมติว่า “ไอทีวี” เป็นสื่อมวลชนจริง “พิธา” ก็มีหลักฐานว่า ไม่ได้ครอบครองหุ้นตั้งแต่วันสมัครสส. คือ ตั้งแต่ยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช. ตอนเป็น สส.ปี 2562 โดย “พิธา” แจ้งชัดเจนว่า ถือหุ้นดังกล่าวในฐานะผู้จัดการมรดกจากพ่อที่เสียชีวิต

หรือหากศาลมองว่าถือหุ้นสื่อจริง หุ้นดังกล่าวก็มีสัดส่วนเพียง 0.00348% เท่านั้น ไม่สามารถครอบงำ สั่งการ ให้ทำการใดๆ หรือไม่ทำการใดๆ ได้

สุดท้าย พรรคก้าวไกลสรุปสั้นๆให้เข้าใจง่ายๆ ว่า ... ไอทีวีไม่ใช่สื่อ...ไอทีวีไม่มีคลื่นความถี่...ไอทีวีไม่มีใบอนุญาต...ไอทีวีไม่มีรายได้จากการทำสื่อ ... “พิธา” ถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก และ “พิธา”ถือหุ้นเพียงน้อยนิด ไม่สามารถสั่งการ ครอบงำใดๆได้

คลิปดังกล่าวของพรรคก้าวไกล ที่ดูเหมือนเป็นการออกมาให้กำลังใจคนกันเองว่า ไม่มีความผิดตามที่ถูกร้อง ขณะเดียวกัน ก็เหมือนเป็นการกดดันศาลรัฐธรรมนูญไปในตัว ว่า ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ ผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต้องไม่เป็นอื่น ที่แตกต่างไปจากนี้

แต่นั่นเป็นข้อมูลที่พรรคก้าวไกล หยิบยกขึ้นมานำเสนอ ในมุมที่ตนเองจะได้ประโยชน์ ขณะเดียวกันก็มีข้อมูลรายละเอียดของคดีอีกไม่น้อย ที่พรรคก้าวไกลเลี่ยงที่จะนำมาเอ่ยถึง

บ่ายวันที่ 24 ม.ค.นี้ ได้รู้กัน ว่า“พิธา” จะรอด หรือถูกเชือดด้วยเหตุผลใด


กำลังโหลดความคิดเห็น