ข่าวปนคน คนปนข่าว
**จาก “เฮียเก้า” ถึง “เฮียเกียรติ” ตัวเป้งคดีหมูเถื่อน ล้วนคนคุ้นเคย “เฉลิมชัย ศรีอ่อน”?
“เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาลยุค “ลุงตู่” ปฏิเสธหลายครั้งว่า ตนเองไม่เคยเกี่ยวข้องกับขบวนการนำเข้าหมูเถื่อน แม้จะถูกเพ่งเล็งมาตลอดก็ตาม
แต่ว่าล่าสุดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กลับมีชื่อของคนที่มีสายสัมพันธ์โยงใยไปถึงถึง “เสี่ยต่อ” ตกเป็นผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และถูกออกหมายจับ ฐานเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำเข้าเนื้อสัตว์เถื่อน 10,000 ตู้ ถึง 3 จาก 5 คน เลยทีเดียว!!
โดยคนแรกก็คือ นายหลี่ เซิ่งเจียว หรือ “เฮียเก้า” บุคคลสัญชาติจีน นายกสมาคมการค้าแลกเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยเอเชีย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักและบริษัทที่ย่านแสมดำ เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่ไม่เจอตัวเพราะเดินทางไปประเทศจีนตั้งแต่ปลายปี ยังไม่กลับมา
คนที่ 2 คือ “นายกรินทร์ ปิยพรไพบูลย์” ลูกชายของ “เฮียเก้า” ซึ่งเดินทางไปจีนพร้อมพ่อตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเช่นกัน
ทั้งสองคนนี้ ตามข่าวปรากฏครั้งแรกเชื่อกันว่า เป็นน้องชายต่างมารดาและหลานของ “เสี่ยต่อ” นั่นเอง แต่วันต่อมา “เสี่ยต่อ” ก็ออกมาปฏิเสธ ว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด พร้อมสาธยายว่า บิดาของตนอยู่ในประเทศไทยมานาน 80 กว่าปีแล้ว ไม่เคยกลับไปเมืองจีนอีก จะไปมีลูกที่จีนได้อย่างไร
“เสี่ยต่อ” ยังบอกว่า ครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนทั่วไปที่มีญาติอยู่ในจีน และญาติชาวจีนก็สามารถมาทำธุรกิจในไทยได้ ซึ่งถ้าเขาทำผิด ก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย
พร้อมยืนยันว่าไม่รู้จักบ้านของ “เฮียเก้า” ไม่เคยไปบ้านและที่ทำงานของเขาด้วย ส่วนที่เคยเจอกันในงาน ก็เป็นเพราะตนได้รับเชิญให้ไปร่วมงานในโรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนักธุรกิจและข้าราชการมาร่วมงานจำนวนมาก เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เราจะรู้ได้ทั้งหมดว่าใครทำอะไร อย่างไรบ้าง
แต่มีอีกปมที่ “เสี่ยต่อ” ต้องแก้ นั่นคือ นายกรินทร์ ปิยพรไพบูลย์ ลูกชายของ “เฮียเก้า” ทำไมมีนามสกุลเดียวกันกับ “วิรัช ปิยพรไพบูลย์” พี่ชายของ“เสี่ยต่อ” และ จักพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคประชาธิปัตย์ ผู้เป็นหลานชาย
ประเด็นนี้ “เสี่ยต่อ” อธิบายสั้นๆว่า ตนรู้แค่ว่าเป็นการมาขอใช้นามสกุล แต่ไม่ทราบรายละเอียด
“เสี่ยต่อ” อธิบายเรื่องนามสกุลลูกเฮียเก้าไม่เคลียร์ ได้แต่ยืนยันว่า ชีวิตของตนไม่เคยเอื้อผลประโยชน์ให้กับคนพวกนี้ ไม่เคยรับเงินสกปรกทั้งต่อหน้าและลับหลัง เพราะในชีวิตของตนเกลียดการทุจริต คอร์รัปชัน ดังนั้น ถ้าเป็นการกระทำความผิดของใคร บุคคลนั้นต้องรับโทษ และเข้าสู่กระบวนยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ตัวเองต่อไปในชั้นศาล
ประเด็นนามสกุลลูกชาย “เฮียเก้า” ยังไปเข้าทางปืนของ “เฮียอัจ” อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ซึ่งได้ไปยื่นร้องที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อวาน ให้ตรวจสอบว่า นามสกุลนั้น เขาได้แต่ใดมา มีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกันสร้างหลักฐานเท็จ สวมบัตรประชาชนปลอมให้ลูกชาย "เฮียเก้า" รวมทั้งลูกสาวอีกคน ด้วยหรือไม่
“เฮียอัจ” ยังแย้มอีกว่า มีเจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองเข้าไปเอี่ยวกับการออกบัตรประชาชนให้ลูกชาย และลูกสาวของ “เฮียเก้า” โดยมิชอบด้วยกฎหมายแน่นอน โดยในส่วนของลูกชายเฮียเก้า ได้ไปเอาชื่อบุคคลที่อยู่ในจังหวัดน่านมาเป็นพ่อแม่ ส่วนลูกสาวของเฮียเก้า ได้ใช้บุคคลในกรุงเทพฯ เป็นชื่อพ่อ ส่วนแม่เป็นคนจีน
ทั้งยังบอกอีกว่า สำหรับ “เฮียเก้า” นั้น เป็นญาติหรือพี่น้องร่วมสาบานกับอดีตรัฐมนตรีชื่อดัง ซึ่งตามกฎหมายแล้วไม่สามารถมาทำธุรกิจในประเทศไทยได้ แต่อยู่ในประเทศโดยวิธีการต่อหนังสือเดินทางทุก 3 เดือน มีข้าราชการระดับสูงในกลุ่มปศุสัตว์ เป็นแบ็กอัพช่วยเหลือในการสวมสิทธิ์หมูเถื่อน และตีนไก่เถื่อน
นี่ก็เป็นอีกปมที่ “เสี่ยต่อ” จะต้องตามแก้ให้ได้!!
ส่วนผู้ต้องหาคนที่ 3 ของคดีลักลอบนำเข้าเนื้อสัตว์เถื่อน 10,000 ตู้ ที่มีสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ “เสียต่อ” ก็คือ “เฮียเกียรติ” สมเกียรติ กอไพศาล อดีตเลขาฯส่วนตัวของ “เสี่ยต่อ” นั่นเอง
ซึ่งเมื่อวาน(15 ม.ค.) “เฮียเกียรติ” ถูกควบคุมตัวไปสอบปากคำที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หลังเจ้าตัวเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อขอต่อสู้คดี โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสะกดรอยและการข่าวดีเอสไอควบคุมตัวมาส่งมอบให้กับคณะพนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนคดี พร้อมผู้ต้องหาอีก 2 คน
การสอบปากคำเมื่อวาน ฟังได้ว่า “เฮียเกียรติ” ยืนกรานปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการน้ำเข้าเนื้อสัตว์เถื่อน 10,000 ตู้ ที่ว่า แต่ขอยังไม่ให้การด้วยวาจาในชั้นสอบสวน โดยจะชี้แจงเป็นเอกสารในขั้นตอนต่อไป
แต่เมื่อนักข่าวถามว่า ได้มีการพูดคุยกับ”เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน หรือไม่ “เฮียเกียรติ” ไม่ยอมตอบ อ้างว่า ขอให้ปากคำเสร็จสิ้นก่อน
ในเรื่องนี้ ฟังจากข่าวเมื่อวาน “พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ” รองอธิบดี ดีเอสไอ ก็บอกว่า ทั้ง “เฮียเกียรติ” และ “เสี่ยต่อ” มีสถานภาพเป็นบุคคลใกล้ชิดกัน แต่ยังไม่ปรากฏว่า ใช้คอนเนกชันเพื่อทำธุรกิจดังกล่าวหรือไม่ แต่หากใครที่เกี่ยวข้อง และเป็นประโยชน์ต่อการพิสูจน์ความผิด หรืออยากมาแสดงความบริสุทธิ์ ก็จะเรียกมา แต่ตอนนี้บอกไม่ได้ว่าจะต้องเรียกใครมาบ้าง
ทราบมาว่าวันนี้ (16 ม.ค.) “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน จะเปิดแถลงข่าวชี้แจงเรื่องราวทั้งหมด ต้องติดตามว่า อดีตเจ้ากระทรวงเกษตรฯ จะตอบคำถามสังคมอย่างไร ที่มีคนใกล้ชิดเข้าไปพัวพันกับคดีหมูเถื่อนตั้งหลายคน!!!
**บ้านพักในฟาร์มโคนมท่านได้แต่ใดมา “เรืองไกร” ยื่นป.ป.ช. สอบบัญชีทรัพย์สิน “สุรพงษ์”
เป็นเรื่องแล้ว เมื่อนักร้องมือหนึ่ง “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” เคลื่อนไหว
ใครๆก็รู้ว่า หาก “เรืองไกร” ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักตรวจสอบมืออาชีพมีผลงานร้องเรียนระดับตำนานมาหลายเรื่อง หลายบุคคล ทั้ง ทักษิณ ชินวัตร ,สมัคร สุนทรเวช หยิบจับเรื่องอะไรขึ้นมาร้องเรียน ต้องมีใครนั่งไม่ติด หนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กัน
ฟังว่า คราวนี้ถึงคิว “รัฐมนตรีสีนมเย็น” สุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อนร่วมรุ่นหลักสูตรวตท. กับ “เจ้าสัวคีรี” คีรี กาญจนพาสน์ กลุ่มบริษัท BTS เจ้าของสัมปทานรถไฟฟ้าสีเขียว สีชมพู สีเหลือง นั่นไซร้
เจ้าตัว “สุรพงษ์” เองก็อาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไปทำอะไรให้ผิดสังเกต แต่เกิดเป็นประเด็นมาเข้าตา “เรืองไกร” จนทำหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ลงวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา ก็เพราะสงสัยว่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม แจ้งบัญชีทรัพย์สินโดยถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ?
ถามว่าทำไม ป.ป.ช.จะต้องตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของ “สุรพงษ์”... ในหนังสือของ “เรืองไกร” ระบุว่า เนื่องจากการตรวจสอบไม่พบการแจ้งบัญชี “บ้านพักภายในฟาร์มโคนม” บ้านพุประดู่ อำเภอเมืองฯ จังหวัดกาญจนบุรี ทั้งๆที่มีข่าวเผยแพร่ในเว็บไซต์ของสื่อมวลชนชัดเจนว่า เป็นบ้านพักของ “สุรพงษ์” ที่เปิดโอกาสให้ประชาชน ผู้นำท้องถิ่น หน่วยงานต่างๆในพื้นที่ เข้าแสดงความยินดี เมื่อครั้งได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
เพราะก่อนนี้ ในรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ในส่วนของบัญชีโรงเรือนและอาคารที่ “สุรพงษ์” ยื่นต่อป.ป.ช.มีเพียง 2 รายการ คือ 1. อาคารสำนักงาน 2 ชั้น ที่ตั้งหมู่ 4 ตำบลสนามแย้ อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี มูลค่า 2 ล้านบาท และ 2. อาคารชุด ที่ตั้งถนนสุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพ มูลค่า 17 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน เมื่อย้อนไปดูบัญชีทรัพย์สินกรณีที่ “สุรพงษ์” ยื่นต่อ ป.ป.ช. เมื่อพ้นจากตำแหน่งส.ส. ครบหนึ่งปี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2556 พบว่า เขาแจ้งทรัพย์สินในส่วนบัญชีโรงเรือน และอาคาร 2 รายการ ได้แก่ 1. บ้านเลขที่ 538/24 ถนนลาดพร้าว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ มูลค่า 11ล้านบาท และ 2. บ้านเลขที่ 123 อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี มูลค่า 2 ล้านบาท
เมื่อเปรียบเทียบการยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินทั้งสองครั้ง จึงมีเหตุควรขอให้ป.ป.ช. ตรวจสอบถึงความถูกต้องในการยื่นบัญชีทรัพย์สินดังกล่าว
พูดง่ายๆว่า บ้านพักภายในฟาร์มโคนม อัครมหาสถานท่านได้แต่ใดมา โผล่มาจากไหน หรือใครให้มา?
พะยี่ห้อ “เรืองไกร” ยื่นป.ป.ช.สอบ แบบนี้ ตอบให้ได้ ตอบให้ดี มิฉะนั้น งานจะเข้าเอานะทั่นรัฐมนตรีสีนมเย็น!