xs
xsm
sm
md
lg

สัมพันธ์ “คีรี-สุรพงษ์” รถไฟฟ้ารางร่วง-ล้อหลุด ก็หยุดเราไม่ได้ เพราะ 2.2 พันล้านจ่อรอรับ **ไม่มีเหนียม!! “ครูมานิตย์” ยืดอกรับตำแหน่ง องครักษ์พิทักษ์เทวดาชั้น 14

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**สัมพันธ์ “คีรี-สุรพงษ์” รถไฟฟ้ารางร่วง-ล้อหลุด ก็หยุดเราไม่ได้ เพราะ 2.2 พันล้านจ่อรอรับ

รถไฟฟ้าสาย “นมเย็น” สีชมพู และ สาย“เก็กฮวย” สีเหลือง หลังจากเพิ่งเกิดอุบัติเหตุรางนำไฟฟ้าร่วง และ ล้อหลุด วันนี้ยังเปิดให้บริการตามปกติ โดยที่กลุ่มบีทีเอสเจ้าของสัมปทานของรถไฟฟ้าทั้งสองสาย แก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยวิธีปรับการเดินรถ และเวลาความถี่ของขบวน

ถามกันอื้ออึงว่า เกิดเหตุแบบนี้ รฟม. หรือการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย รัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงคมนาคมเจ้าของโครงการ ทำไมยังอนุมัติให้เปิดบริการ?

จริงๆแล้วต้องเรียกว่า “ดันทุรังเปิดบริการ” จะถูกต้องกว่า เพราะ รางนำไฟฟ้าส่วนที่ร่วงและเป็นปัญหายาวกว่า 5 กิโลเมตร ยังซ่อมไม่เสร็จ ขณะที่ล้อหลุด ก็ยังไม่ได้ตรวจสอบให้แน่ใจ 100%

แว่วว่า เบื้องลึกเบื้องหลังงานนี้ วันแรกหรือวันที่ 24 ธันวาคม ปีที่ผ่านมา ที่สายสีชมพูรางนำไฟฟ้าร่วง ผู้ว่าฯรฟม.จะสั่งให้หยุดเดินรถ และ ยังไม่ให้เปิดบริการ จนกว่าจะตรวจสอบว่าปลอดภัยจริงๆ

นี่ก็ต้องชื่นชมผู้ว่าฯรฟม.ที่ตัดสินใจได้ถูกต้องคำนึงถึงความปลอดภัยมาก่อน แต่คำยังไม่ทันสั่ง!

ว่ากันว่า ผู้ว่าฯถูก “สุรพงษ์ ปิยะโชติ” รัฐมนตรีช่วยว่าการ ที่ดูแลกำกับงานระบบรางเรียกเข้ากระทรวงไปเฉ่งพร้อมสั่งการรฟม.ให้อนุมัติสายสีชมพู เปิดเดินรถในบัดดล ห้ามสั่งปิด

ถามว่า ทำไม “รมช.สุรพงษ์” จึงต้องสั่งผู้ว่ารฟม.เช่นฉะนี้?

คนวงในเขารู้กันว่า ระหว่าง “สุรพงษ์” กับ “เจ้าสัวคีรี” คีรี กาญจนพาสน์ เจ้าของบีทีเอส และผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีชมพู และ สายสีเหลือง สัมพันธ์กันนั้นไม่ธรรมดา

คีรี กาญจนพาสน์
นอกจากเป็นเพื่อนร่วมรุ่นหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงวิทยาการตลาดทุน หรือ วตท. รุ่น10 แล้ว มากกว่าไมตรีของเพื่อนคบหาเพื่อน สถานะนักการเมือง จาก สส.ภูธร-กาญจนบุรี ที่มาไกลราวเหาะเหินเดินอากาศ มานั่งกระทรวงใหญ่ เกรด AAA อย่างคมนาคม คุมงานระบบรางของ “สุรพงษ์” ก็ยังถูกเมาต์มอยว่า ใช่เป็น “เจ้าสัว” เกื้อหนุนส่งเสริมด้วยหรือไม่?

จริงเท็จแค่ไหนไม่รู้ มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างยังว่า ทุกสิ่งเป็นจริงได้ไม่ใช่แค่ “ซิงเกอร์” ไม่เชื่อก็ไปถาม “คนชั้น14” ที่รับรู้รับทราบในมิตรภาพที่เหนือคำว่าเพื่อน ระหว่างคนทั้งสองนี้

ทีนี้ที่สายสีชมพู แม้จะยังซ่อมไม่เสร็จ เดินรถไม่ได้สมบูรณ์ทั้งระบบ “ต้องเปิด” และ “ต้องไปต่อ” ให้ได้นั้น เกี่ยวข้องกับเงินในบัญชี “เจ้าสัว” เต็มๆ ก็เพราะว่า ในสัญญาสัมปทานโครงการสายสีชมพูที่ต้องลงทุนกว่า 45,000 ล้านนี้ มีเงื่อนไขที่รัฐบาลต้องจ่ายเงินสนับสนุนงานโยธาเป็นจำนวน 22,500 ล้านบาท ทยอยจ่าย 10 ปี ก็ตกปีละ 2,250 ล้าน

เงินสนับสนุน หรือ เงินสนับสนุนตามมติคณะรัฐมนตรี (Supsidy From Cabinet Resolution)นี้ เป็นไปตามตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 โดยทยอยจ่ายให้ผู้รับสัมปทานหลังจาก รฟม.ได้ออกหนังสือรับรองการเริ่มให้บริการเดินรถไฟฟ้าทั้งระบบ (Commissioning Certificate) แล้ว หรือ เรียกกันในวงการสั้นๆว่า “ใบเซอร์”

สุรพงษ์ ปิยะโชติ
รถไฟฟ้าสายสีชมพูเสร็จช้ากว่ากำหนดมากว่า 2 ปี เจ้าสัวกู้แบงก์มาลงทุน ดอกเบี้ยก็รันไปทุกวัน พอสร้างเสร็จก็เร่งปิดจ๊อบ ทดลองเดินรถ เปิดระบบเพื่อให้ รฟม.ออกใบเซอร์ให้ เพื่อจะได้เบิกเงินงวดแรกจำนวนเงิน 2,250 ล้านออกมาก่อนได้

เร่งวันเร่งคืนจน รฟม.ในยุคที่ “สุรพงษ์” เพื่อนของ “เจ้าสัว” มากำกับดูแล ได้ออกใบเซอร์ให้เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมานี้ โดยระบุรับรองอนุมัติให้ “เปิดให้บริการ” เป็นวันที่ 31 ธันวาคม สิ้นปีพอดิบพอดี ปีใหม่2567 ม.ค. ก็จะเก็บค่าโดยสารหารายได้ทันที

เรียกว่า ได้เงินสนับสนุนจากรัฐด้วย เปิดเก็บตังค์ค่าโดยสารด้วย แถมขนคนไปเชื่อมต่อ “สายสีเขียว” ที่กลุ่มบีทีเอสรับสัมปทานอยู่ก่อนด้วยอีก ย่อมเป็นที่ยินดีปรีดาของเจ้าสัวแน่นอน

แต่คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต รางนำไฟฟ้าเจ้ากรรมทำผิดแผน ร่วงประจานความเร่งรีบ หรือ ผลงานห่วย ในวันที่ 24 ธันวาคม ก่อนจะถึงวัน “เปิดบริการ” 31ธันวาคม ไม่กี่วัน

หากรฟม. สั่งให้ปิดบริการ งานก็จะเข้ากลุ่มบีทีเอสทันที เพราะ ถ้าไม่เปิดบริการ รัฐอาจจะไม่จ่ายเงิน Subsidy ค่าก่อสร้าง ฝันจะได้เงิน 2,250 ล้าน จะค้างเติ่งต้องรอไปอีกไม่รู้นานแค่ไหน

งานนี้แทนที่จะรอตรวจสอบให้ปลอดภัย แทนที่จะห่วงใยชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน “รมช.สุรพงษ์”ก็ไม่รอ “เจ้าสัว” ยิ่งรอไม่ได้ จึงเป็นเบื้องหลังคำสั่งให้ผู้ว่ารฟม.อย่าขวางคลอง เปิดทางให้รถไฟฟ้าสีชมพูต้องเปิดบริการ 31 ธันวาคม ตามเดิม

อนุทิน ชาญวีรกูล
นี่ถ้ามีคนยื่น ป.ป.ช. คงจะมีใครต่อใครที่เกี่ยวข้องด่าวดิ้นอย่างไม่ต้องสงสัย กับ ประเด็นที่ว่า สร้างแบบนี้ รฟม. รับงานได้อย่างไร อนุมัติให้เปิดบริการเป็นทางการได้ไง ทั้งที่ไม่ปลอดภัย

ตามหลัก รัฐบาลต้องปรับ และลงโทษให้หนัก ทำงานชุ่ย ทั้งกลุ่มบีทีเอส และ ซิโน-ไทย ของตระกูล “ชาญวีรกูล”

“เสี่ยหนูตีสี่” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็กระไร ทั้งที่ดูแลกทม. นั่งมท.1 ต้องดูแลประชาชน งานนี้เงียบกริบ!

ไม่เห็นกระตือรือล้น เหมือนตรวจเยี่ยมผับบาร์ เดินท่อมๆ กลมกลืนกับนักท่องราตรี นักดื่ม หรืออีเว้นต์ดูสถานบันเทิงปิดตีสี่ สำคัญกว่า

เรื่องนี้คิดได้อย่างเดียวว่า เป็นเรื่องเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน

...รางร่วง-ล้อหลุด ชาวบ้านโชคดี ก็ปลอดภัย โชคร้ายก็ช่างอย่างนั้นหรือ? อะเมซซิ่งไทยแลนด์จริงๆ พับผ่า.

**ไม่มีเหนียม!! “ครูมานิตย์” ยืดอกรับตำแหน่ง องครักษ์พิทักษ์เทวดาชั้น 14

ทักษิณ ชินวัตร
ในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วันแรกนั้น ได้รับรู้กันไปแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน ใช้ความเก๋าเกม แย่งซีนพรรคก้าวไกล ที่เป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้าน โดยอภิปรายแวะเวียนไปที่ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จนเป็นประเด็นร้อนในหน้าสื่อ

จังหวะนั้น “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” สส.บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ถามถึงงบประมาณ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ที่ได้บริหารโครงการตามวัตถุประสงค์ โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ ต่อผู้ต้องขัง 2.8 แสนคน หรือไม่ เพราะมีข้อเคลือบแคลงเกิดขึ้นในสังคมว่า ทำไมรัฐบาลปล่อยให้ “นักโทษบางคน” เข้า “คุกทิพย์” มาแล้วกว่า 120 วัน แต่ยังไม่เคยติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว!

แค่พูดถึงนักโทษบางคนเข้า “คุกทิพย์” ยังไม่ได้เอยชื่อใครเลย

แต่ “ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม” สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ก็เต้นผาง ยกมือลุกขึ้นขัดจังหวะทันที ท้วงว่าอภิปรายนอกประเด็น แถมเฉลยเสร็จสรรพว่า คนที่ “จุรินทร์” พูดถึงคือ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร พร้อมแอ่นอก ปกป้องว่า ถูกกลั่นแกล้ง ต้องไปอยู่เมืองนอกมาตั้ง 17 ปี ส่วนการรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ก็มีการอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้อง ซ้ำยังบอกว่า การที่ “ทักษิณ”ยอมกลับมารับโทษ ก็เพื่อให้เกิดสันติสุข เกิดความปรองของคนในชาติ

ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม
“ครูมานิตย์” ยังออกมาให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ไม่คิดว่านักการเมืองอาวุโสระดับ “จุรินทร์” ที่เคยเป็นถึงรองนายกฯ เป็นรัฐมนตรีมาไม่รู้กี่กระทรวง จะหยิบเอาเรื่องเหล่านี้มาอภิปราย พูดถึงเรื่องถุงเท้าของนายกฯ พยายามพายเรือออกนอกกรอบ ครั้งนี้เป็นการอภิปรายเรื่องงบประมาณ ไม่เกี่ยวกับนายทักษิณเลย

ส่วนที่ต้องลุกขึ้นประท้วง ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้มีการเอ่ยชื่อ หรือพาดพิงถึง “ทักษิณ”เลยนั้น “ครูมานิตย์”บอกว่า ไม่ได้ ต้องประท้วงไว้ก่อน เพื่อ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม จะได้มีการชี้แจงตามมา

“หากถามว่าผมเป็นองครักษ์พิทักษ์หรือไม่ ผมตอบแบบไม่อายเลยว่า บางครั้งมีความจำเป็น เพราะเขาเป็นคนหนึ่งที่ทำให้ผมได้มีโอกาสยืนอยู่ในสภาวันนี้ และตั้งแต่ปี 2544 ตั้งแต่ท่านเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย”

แต่เดิมนั้น “ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม” ชื่อมานิตย์ สังข์พุ่ม จบการศึกษาปริญญาตรี ครุศาสตรบัณฑิต เอกสังคมศึกษา จากวิทยาลัยครูสุรินทร์ เมื่อจบมาก็เข้ารับราชการครู ตำแหน่ง อาจารย์ 2 ระดับ 6 ที่โรงเรียนบ้านกะลัน

ต่อมาได้ลาออกจากการเป็นครู มาทำงานการเมือง ในตำแหน่งที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ ปีเมื่อปี 2542 และที่ปรึกษาประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุรินทร์ ปี 2543 ก่อนจะลงสมัครส.ส.ในนามพรรคไทยรักไทย และได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส. ในปี 2544

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์
ด้วยความที่เป็นครูมาก่อน เวลาออกพบปะประชาชน ใครๆก็จะเรียก “ครูมานิตย์” เลยทำให้เข้าตัวตัดสินใจเปลี่ยนชื่อจาก “นายมานิตย์ สังข์พุ่ม” เป็น “นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม” เพื่อให้ชาวบ้านจดจำได้ ตามที่เคยชิน

“ครูมานิตย์”เป็นส.ส.สุรินทร์มาแล้ว 5 สมัย เริ่มจากปี 2544 พรรคไทยรักไทย ปี 2548 พรรคไทยรักไทย

ปี 2554 พรรคเพื่อไทย ปี 2562 พรรคเพื่อไทย และล่าสุด ปี 2566 พรรคเพื่อไทย

เรียกได้ว่าชีวิตการเมือง อยู่ใน “ระบอบทักษิณ” มาตลอด ไม่เคยย้ายไปไหน

ปัจจุบันมีตำแหน่งในพรรค เป็นรองโฆษกพรรคเพื่อไทย และเป็นรองประธานวิปรัฐบาล ใน“รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน”

เมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมา และพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำรัฐบาล แล้วทำไม “ครูมานิตย์” จะไม่แอ่นอก อาสาเป็นองครักษ์พิทักษ์นายใหญ่ล่ะ


กำลังโหลดความคิดเห็น