วันนี้ (31 ส.ค.) นายนิติพล ผิวเหมาะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เครือข่ายภาคเหนือ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงโผรายชื่อคณะรัฐมนตรีว่า คิดว่ารายชื่อต่างๆ ที่ปรากฏบนหน้าสื่อค่อนข้างนิ่งแล้ว จากรายชื่อที่ปรากฏทำให้รู้สึกกังวล และคิดว่า น่าจะตรงกับความรู้สึกของพี่น้องประชาชน ว่า เพราะมีลักษณะจัดสรรแบบต่างตอบแทน แลกดีล แลกโควตา มากกว่าจัดสรรตามความเหมาะสม ตนไม่ได้มองว่า พวกท่านเหล่านี้ไม่มีความสามารถ แต่ดูแล้วเหมือนวางตัวบุคคลแบบผิดฝาผิดตัว เพราะไม่ได้ถูกคิดมาจากเนื้องานว่าใครเหมาะกับงานใด ทำให้อาจแก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุด ประเทศจะเสียโอกาสฟื้นตัวหลังความเสียหายที่รัฐบาลประยุทธ์บริหารล้มเหลวมาอย่างยาวนาน
“ถ้าจัด ครม.โดยมองเห็นประชาชนอยู่ในสมการ โฉมหน้า ครม.คงไม่เป็นแบบนี้ อย่างว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ โควตาลุงคนไหนรู้กันอยู่ ท่านมีชื่อเป็นคณะกรรมการกลุ่มทุนเกษตรยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนหรือ PM 2.5 แบบนี้จะเชื่อได้อย่างไรว่าปัญหามลพิษทางอากาศที่พี่น้องชาวเหนือทนหายใจเอาฝุ่นพิษมานานเป็นสิบปี เป็นโซนที่เป็นมะเร็งปอดสูงที่สุดจะได้รับการแก้ไข หรืออย่างกระทรวงศึกษาธิการ ก็มีความผิดฝาผิดตัว ทั้งที่กระทรวงนี้มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศมาก ปัญหาก็มีความซับซ้อน ไม่ว่าในส่วนหลักสูตร ปัญหาของนักเรียนหรือปัญหาของครู จึงควรมีนักการศึกษาหรือมีความเข้าใจด้านการศึกษาเป็นอย่างดีมาบริหารจัดการ แต่กลับให้อดีตตำรวจมาบริหาร ซึ่งเป็นนายตำรวจที่มีข้อกังขาว่าเกี่ยวข้องกับการช่วยในคดี บอส กระทิงแดง ให้ไม่มีการสั่งฟ้องด้วย จึงน่าสงสัยว่าจะสอนเริ่องหลักความยุติธรรมให้เด็กๆ เชื่อมั่นได้อย่างไร” นายนิติพล กล่าว
นายนิติพล กล่าวต่อว่า แว่วมาว่า นโยบายแรกๆ จะเป็นเรื่องเพิ่มหลักสูตรความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เข้าไปอีก ซึ่งตนมองว่าที่ผ่านมาสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขาด มีแทบจะทุกอณูในโรงเรียนอยู่แล้ว ขณะที่สิ่งที่ควรอยู่ในหลักสูตรอย่างเรื่องสิทธิมนุษยชน หรือการเคารพในความแตกต่างหลากหลาย การเปิดกว้างทางความคิดและความสร้างสรรค์ รวมถึงการทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย ปราศจากความรุนแรงและอำนาจนิยม ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มากในเวลานี้ กลับไม่ใช่นโยบายแรกๆ ที่ถูกพูดถึง ถ้าผู้บริหารกระทรวงไม่มีวิสัยทัศน์ในเรื่องเหล่านี้เลย ก็ไม่น่าจะเหมาะในการบริหารกระทรวงที่เกี่ยวพันกับอนาคตของประเทศมากขนาดนี้
นายนิติพล ยังกล่าวต่อว่า การที่ชื่อของ อาจารย์ชูศักดิ์ ศิรินิล หลุดจากโผรองนายกฯ ที่ดูแลด้านกฎหมาย ยิ่งทำให้น่ากังวลว่าแม้แต่การแก้รัฐธรรมนูญ โดย ส.ส.ร.ที่มาจากประชาชน ก็อาจไม่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมา อาจารย์ชูศักดิ์ เป็นผู้ที่ออกหน้าในเรื่องนี้มาตลอด แต่ชื่อกลับหลุดออกไปจากการฝ่ายบริหาร ขณะที่การปฏิรูปกองทัพ โดยเฉพาะการยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหารก็ยิ่งน่าเป็นห่วง เพราะว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดูจะไม่หนักแน่นในการผลักดันนโยบายพรรคตัวเอง แต่ใช้วิธีอ้อมแอ้มตอบว่า ต้องฟังจากพรรคร่วมด้วย ขนาดกระทรวงที่พรรคตนเองมีอำนาจตรงในการผลักดันนโยบายพรรคตัวเองแท้ๆ ยังต้องเกรงใจพรรคอื่น จึงทำให้น่าเป็นห่วงว่าหลายนโยบายที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ และก้าวไกลก็พร้อมจะยกมือให้แม้เป็นฝ่ายค้านจะถูกทำแท้งมาจากคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้เสียเอง ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายและทำให้ประเทศเสียโอกาสไปอีก 4 ปีในการสร้างความเปลี่ยนแปลง