xs
xsm
sm
md
lg

เศรษฐา-พท.เดิมพันสุดท้าย ความคาดหวังสูงปรี๊ด!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ  ชินวัตร - เศรษฐา ทวีสิน
เมืองไทย 360 องศา

จะว่าไปแล้ว การได้เป็นรัฐบาล หรือโดยเฉพาะการเป็น “แกนนำ” รัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทยในเวลานี้ มองอีกมุมหนึ่ง มันเหมือนกับได้ “ทุกขลาภ” เหมือนกัน เพราะ หนึ่ง ในปัจจุบันนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว โดยเฉพาะในทางการเมือง ที่พรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร กำลังมีความนิยมที่ลดถอยลงอย่างมาก พิสูจน์ให้เห็นจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่ถือว่าพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก และมีโอกาสพ่ายแพ้หนักกว่าเดิม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผลงาน และการบริหารจัดการของรัฐบาล และ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ต้องโชว์ความสามารถให้เห็น

ในช่วงเวลากว่า 9 ปีที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถือว่าเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล หรือฝ่ายตรงข้ามมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญก็คือ เป็นการใช้ลักษณะของการ “เหยียด” ทำนองว่า “มือไม่ถึง” หรือว่า “อ่อนหัด” อะไรประมาณนั้น ที่ผ่านมา พวกเขาพยายามแสดงให้เห็นว่าเป็นมือเศรษฐกิจแบบมืออาชีพ รอบรู้ปัญหาแบบทะลุปรุโปร่ง

อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงมันคงไม่ง่ายแบบนั้น เพราะทุกอย่างมันมีตัวแปรสำคัญทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะ “วิกฤตเศรษฐกิจโลก” ที่ควบคุมได้ยาก และส่งผลกระทบไปทั่ว แต่ถึงอย่างไรมันก็ย่อมมีความท้าทายความสามารถของทีมเศรษฐกิจ ทีมบริหาร ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทย

แต่หากพิจารณาตามรูปการณ์ และสภาพเท่าที่เห็นจากบรรดาว่าที่รัฐมนตรีหลายคน เมื่อพิจารณาจาก “แบ็กกราวด์” ตามความเป็นจริงแล้ว ยังไม่อาจสร้างความมั่นใจได้เลย ตรงกันข้ามหลายคนยังออกไปในแนว “ไม่น่าไว้วางใจ” ตั้งแต่เริ่มต้นเสียอีก บางคนมีภาพลักษณ์ในเรื่องการ “ติดสินบน” ทุจริต ผิดกฎหมาย บางคนเหมือนกับว่ามีสถานะไม่ต่างจาก “เด็กในบ้าน” ถูกส่งเข้ามาดูแลผลประโยชน์ อะไรประมาณนั้น

ดังนั้น นาทีนี้จะว่าไปแล้วมีรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลใหม่ที่ต้องตกเป็นเป้าสายตา ไม่ต่างจาก “สายล่อฟ้า” เสี่ยงต่อการได้รับเสียง “ยี้” จากสังคมภายนอก ทั้งประเภทที่เป็นแบบ “รังเกียจโดยธรรมชาติ” กับอีกพวกหนึ่งที่เป็นแบบ “สร้างกระแส” แบบการเมืองฝั่งตรงข้าม แต่ถึงอย่างไร ในเมื่อเป็น “เหยื่อล่อ” ให้ทุกฝ่ายออกมาเองมันก็ช่วยไม่ได้ เพราะแม้แต่ตัว “ผู้นำรัฐบาล” คือ นายเศรษฐา ทวีสิน เอง ก็มีบาดแผล มีเรื่องร้องเรียนให้ตรวจสอบมาก่อนหน้านี้ด้วย

ต่อมา นายพิชิต ชื่นบาน ว่าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์กรณีคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี หลังมีคนออกมาตั้งข้อสังเกตกรณีเคยถูกศาลสั่งจำคุก 6 เดือน เมื่อปี 2552 เนื่องจากละเมิดอำนาจศาล ยืนยันว่า ตนไม่ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากเคยเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในปี 54-56 แถมในปี 62 ยังเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักษาชาติ อีกด้วย ตนไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม ไม่เคยต้องคำพิพากษาในคดีความอาญา ในความผิดฐานให้สินบนเจ้าหน้าที่ หรือศาล คดีที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในปี 2552 ว่า “ร่วมกันใช้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานฯ” แต่พนักงานสอบสวน (ตำรวจ) สน.ชนะสงคราม มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง

ต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 มีคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด และตนถูกสั่งจำคุก ฐานละเมิดอำนาจศาล ไม่ใช่ความผิดทางอาญา อีกทั้งเมื่อตนจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว แต่ถูกตัดสิทธิ ไม่ให้ยื่นอุทธรณ์ทั้งที่ไม่มีกฎหมายรองรับ และใครๆ ก็ตามที่ได้รับโทษจำคุก แต่พ้นโทษมาแล้ว 10 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ 2560 ให้โอกาสบุคคลนั้นสามารถเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีได้ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังเปิดโอกาสให้บุคคลที่เคยได้รับโทษจำคุก ในความผิดฐานประมาท หรือ ความผิดลหุโทษ สามารถเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีได้ โดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับระยะเวลาในการพ้นโทษ

แน่นอนว่า นั่นคือ คำชี้แจงของเจ้าตัว คือ นายพิชิต ยืนยันว่า ตัวเองไม่ได้ขาดคุณสมบัติ เพราะไม่เคยต้องคดีอาญา และข้อกล่าวหาดังกล่าว ทั้งพนักงานสอบสวน และอัยการสั่งไม่ฟ้อง รวมไปถึงได้ยกเอากรณีการพ้นโทษมาแล้ว 10 ปี กฎหมายก็ให้โอกาสบุคคลนั้นเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีได้ ซึ่งก็น่าจะไม่ผิด แต่ก็สมควรถูกตั้งคำถามในเรื่องของมาตรฐานจริยธรรม รวมไปถึงข้อสงสัยในชั้นพนักงานสอบสวนในยุคนั้นด้วยว่า มีความโปร่งใสแค่ไหน

แต่เอาเป็นว่า แม้ว่าจะไม่ขาดคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรีของ นายพิชิต ชื่นบาน แต่รับรองว่า เขาต้องถูกตั้งคำถาม และต้องเป็นหนึ่งในรัฐมนตรี “ยี้” ตั้งแต่เริ่ม และจะกลายเป็น “จุดอ่อน” หรือตัวถ่วงรัฐบาลใหม่อย่างแน่นอน เพราะภาพลักษณ์ที่ต่อเนื่อง และเชื่อมโยงกันไปถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่กำลังรับโทษในคดีทุจริต อยู่ในเวลานี้ และกำลัง “ก่อกระแสความไม่พอใจ” ให้กับสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องของ “อภิสิทธิ์ชน” หรือ “นักโทษเทวดา” กันเพิ่มขึ้น

เพราะเชื่อกันว่าระดับ “มือกฎหมาย” ชั้นเซียน ในพรรคเพื่อไทย ย่อมมีอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อนหน้านี้ ก็มีชื่อของ นายชูศักดิ์ ศิรินิล จะมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ดูแลด้านกฎหมาย ซึ่งเมื่อเทียบกับ นายพิชิต แล้วถือว่ามีภาษีดีกว่า จนเทียบกันไม่ติด โดยเฉพาะในเรื่องของเครดิต แต่เมื่อเคาะชื่อมาเป็นนายพิชิต มาดูแลด้านกฎหมายแทน มันก็ถึงเกิดคำถามปนยี้ ขึ้นมาทันที และจะดังขึ้นเรื่อยๆ

นี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ที่เป็นเรื่อง “ยี้” ที่ “ท้าทายความรู้สึก” ของสังคมตั้งแต่เริ่มต้น แต่ก็ไม่ใช่มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลายกรณีที่ประดังเข้ามา โดยเฉพาะต้องจับตาการควบคุมตัว และการดำเนินคดีที่เหลืออยู่ของนายทักษิณ ชินวัตร ว่า จะท้าทายความรู้สึกสังคมจนเกิดการระเบิดออกมาอีกหรือไม่ และที่น่าเป็นห่วงก็คือ ความนิยมของเขาและพรรคเพื่อไทย ในเวลานี้ ถดถอยลงไปมาก เมื่อเทียบกับเมื่อราวสิบกว่าปีก่อน หากไม่ยอมรับความจริง และยังกล้าท้าทายความรู้สึกสังคมในแบบเดิมๆ มันก็มีความเสี่ยงที่จะพังเอาได้ง่ายๆ

อย่างไรก็ดี ก็ยังเชื่อว่า ทุกอย่างยังพอแก้ไขได้ ทั้งในเรื่องของการสรุปบทเรียนเก่าๆ ที่เคยผิดพลาดมาก่อน ขณะเดียวกัน ความหวังเดียวที่ยังพอฟื้นศรัทธาให้กลับคืนมาได้บ้าง ก็คือ ต้องโชว์ฝีมือในการบริหารให้สมกับความคาดหวังของชาวบ้านที่สูงเอาการ แก้ปัญหาปากท้องให้ได้อย่างตรงจุด ไม่มีเรื่องทุจริตอื้อฉาวก่อนเวลาอันควร แต่มองตามรูปการณ์แล้วถึงได้บอกว่าเหนื่อยก็แล้วกัน !!



กำลังโหลดความคิดเห็น