เมืองไทย 360 องศา
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ทางกรมราชทัณฑ์ได้เริ่มอนุญาตให้ญาติสามารถเข้าเยี่ยม นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ต้องขังที่กำลังพักรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจ
นายนัสที ทองปลาด ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เปิดเผย ในวันดังกล่าวจะเริ่มอนุญาตให้ญาติมาเยี่ยม นายทักษิณ โดยญาติต้องแจ้งรายชื่อลงทะเบียนผ่านระบบของเรือนจำฯ ไม่เกิน 10 รายชื่อ ซึ่งในวันที่เดินทางมาเยี่ยมนายทักษิณจริงๆ แล้วอาจมีไม่ถึง 10 คน บางวัน 3-4 คน หรือวันถัดไป 7-8 คนก็ได้ แต่บุคคลเข้าเยี่ยมต้องเป็นชื่อที่ลงทะเบียน 10 รายชื่อนี้เท่านั้น โดยตอนนี้ได้ลงทะเบียนครบทั้ง 10 รายแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้
นายนัสที เผยว่า ส่วนการกำหนดเยี่ยมตามปกติ ญาติมาเยี่ยมผู้ต้องขังในเรือนจำฯ เข้าเยี่ยมในเวลาราชการ ตั้งแต่ 09.00-15.00 น. หรือสามารถเยี่ยมผ่านแอปพลิเคชันไลน์ได้ แต่ต้องลงทะเบียนกับทางเรือนจำฯ หากผู้ต้องขังถูกส่งรักษาตัวโรงพยาบาลข้างนอก ต้องตามกำหนดเวลาเข้าเยี่ยมคนป่วยของโรงพยาบาลนั้นๆ และการเข้าเยี่ยมจะสามารถเข้าเยี่ยมได้เพียงครั้งเดียวต่อวัน ประมาณ 30-40 นาที
“เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ทำงานร่วมกับตำรวจจะคอยดูแลรักษาความปลอดภัย โดยเมื่อญาติลงทะเบียนวันเข้าเยี่ยมแล้วต้องมารับบัตรอนุญาตที่เรือนจำฯ จากนั้นนำไปติดต่อเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเพื่อเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ตามขั้นตอน และการเข้าเยี่ยมทำได้ทุกวัน แต่ต้องลงทะเบียนล่วงหน้าให้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ของฝากหรือกระเช้าไม่สามารถนำเข้าเยี่ยมได้ทุกกรณี”
ต่อมา เวลา 12.30 น. ที่ อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และบุตรสาวเดินทางเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่ถูกส่งจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เข้ารับการรักษาด่วนด้วยอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ความดันสูง เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 23 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้ครบกำหนดการกักตัว 5 วันและแพทย์อนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 09.00-15.00 น.
ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร เป็น 1 ใน 10 ที่ได้แจ้งรายชื่อลงทะเบียนผ่านระบบของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จากนั้นเวลา 13.45 น. น.ส.แพทองธาร ได้เดินทางกลับโดยทันที โดยไม่ยอมให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวแต่อย่างใด
ด้าน นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ที่เข้าร่วมเยี่ยมนายทักษิณ ได้เปิดเผยสั้นๆ ว่า อาการของนายทักษิณ แพทย์ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนรายละเอียดทั้งหมด น.ส.แพทองธาร จะแถลงที่พรรคในวันที่ 29 สิงหาคม
นั่นคือ ความเคลื่อนไหว รวมถึงข้อกำหนดในการเข้าเยี่ยมนักโทษ หรือผู้ต้องขังที่มีอาการป่วยจนต้องมีการนำส่งโรงพยาบาลข้างนอกเรือนจำ ซึ่งในที่นี้ทางกรมราชทัณฑ์ได้เลือกนำตัวมารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ
อย่างไรก็ดี สำหรับกรณีของนายทักษิณ ชินวัตร นั้น แน่นอนนว่า ย่อมไม่เหมือนกับนักโทษหรือผู้ต้องขังรายอื่นๆ เพราะเวลานี้กำลังถูกสังคมจับตามองและวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ในลักษณะของ “อภิสิทธิ์” ไม่ต่างจาก “เทวดา” ตามที่มีการเปรียบเทียบกันให้เห็นภาพ ตั้งแต่วันที่เขาเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม เป็นต้นมา จนกระทั่งมาถึงคืนวันเดียวกันที่มีรายงานระบุว่ามีการนำเฮลิคอปเตอร์ นำตัวเขามาส่งที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยอ้างว่า “ป่วยหนัก” และจนบัดนั้นมาจนถึงวันนี้ ก็ยังต้องนอนรักษาอาการป่วย
เรียกว่า หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว เมื่อเวลาผ่านมา 5-6 วันแล้ว ยังต้องรักษาอาการอยู่ในโรงพยาบาลแบบนั้น สำหรับคนทั่วไปก็ต้องประเมินไว้ก่อนว่ามีอาการ “โคม่า” แล้ว เพราะดูเหมือนว่ายังไม่มีอาการดีขึ้นเลยจนต้องรักษาอาการ “นอกเรือนจำ” ต่อไปแบบไม่มีกำหนด แต่ขณะเดียวกันหากพิจารณากันในอีกแง่มุมหนึ่ง มันก็มองได้เหมือนกันว่านี่คือ “อภิสิทธิ์ชน” อย่างแท้จริง และคำว่า “คนไม่เท่ากัน” ถือว่าต้องใช้กับกรณีนี้แหละชัดเจนที่สุด
แน่นอนว่า สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องยอมรับความจริงเช่นเดียวกันว่า เขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา อย่างน้อยก็เคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี มีบารมี มีคนชื่นชมมากมายมาก่อน แต่มันก็ยังมีอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็น “ด้านมืด” ของเขา ที่ย่อมมี “คนเกลียด” อีกจำนวนมาก และที่สำคัญ ก็คือ คดีที่เขาต้องมารับโทษในครั้งนี้ก็เป็น “คดีทุจริต” หรือพูดตรงๆ ก็คือ “คดีโกง” นั่นแหละ อีกทั้งการปฏิบัติกับนักโทษมันก็ต้องเสมอภาคกับนักโทษคนอื่นๆ ด้วย อย่างน้อยก็ต้องเคารพต่อความรู้สึกของคนไทยคนอื่น รวมไปถึงญาติพี่น้องของนักโทษคนอื่น ที่เหมือนกับว่าถูกเลือกปฏิบัติกันอย่างชัดเจน
การอ้างถึงอาการ “ป่วยหนัก” ของ นายทักษิณ ชินวัตร และต้องรักษาอาการอยู่ข้างนอก ในความหมายก็คือ อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ ลองถามใจตัวเองเอาก็ได้ว่า มีกี่คนที่เชื่อเรื่องแบบนี้ หรือคำถามตามมาว่า “เมื่อไหร่จะถูกนำตัวกลับไปยังเรือนจำ” เสียที หรือว่าจะใช้วิธีปล่อยให้เรื่องราวค่อยๆ เงียบไปเอง แล้วจากนั้นก็ค่อยนำไปรักษาอาการต่อที่โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งในเครือข่ายของตัวเอง ซึ่งก็ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้กันอยู่แล้ว
สิ่งที่ต้องระวังกัน ก็คือ “ความรู้สึก” ของชาวบ้านที่กำลังเฝ้ามองอยู่ และที่น่าสังเกต ก็คือ เริ่มมีความเคลื่อนไหวต่อต้านมากขึ้น จนอาจบานปลาย อีกทั้งหากมองว่า นายทักษิณ มีความเชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ อย่าง นายเศรษฐา ทวีสิน ที่กำลังมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่คลอดออกมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ หากภาพของ นายทักษิณ ออกมาใน “ทางลบ” มากขึ้นเรื่อยๆ มันก็อาจส่งผลกระทบเป็นการ ฉุดรั้งลงไปได้เหมือนกัน
เพราะต้องไม่ลืมว่า สถานการณ์และความนิยมชมชอบทั้งของ นายทักษิณ ชินวัตร กับพรรคเพื่อไทยในเวลานี้เมื่อเทียบกับในยุคก่อนถือว่าเปลี่ยนแปลงไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือไปแล้ว เด็กรุ่นใหม่แทบไม่เคยรับรู้บรรยากาศในยุคของ นายทักษิณ ในอดีตเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนแล้ว และที่ต้องจับตาก็คือเวลานี้ ภาวะเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ขาลง การส่งออกดำดิ่งติดต่อกันเป็นเวลากว่า 6 เดือนติดแล้ว พิจารณาตามรูปการณ์แล้วถือว่าเป็นภาระหนักของ รัฐบาลใหม่
ดังนั้น เมื่อบรรยากาศในเวลานี้ รวมไปถึงอนาคตอันใกล้ไม่น่าจะเป็นใจมากนักกับทั้ง นายเศรษฐา ทวีสิน และรัฐบาลชุดใหม่ที่คาดว่าต้องเจอกับเศรษฐกิจขาลง เป็นศึกหนัก แถมยังต้องเจอกับความคาดหวังของชาวบ้านที่กำลังรอนโยบายหลายอย่างที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาล ขณะที่รายได้ยังขยับได้ยาก ถึงตอนนั้นเมื่อมาเจอกับ “ความรู้สึก” ของสังคมมองเห็น “อภิสิทธิ์ชน” ของ นายทักษิณ ชินวัตร ทับถมเข้ามาอีก มันก็เหมือนกับการ “ฉุดรั้ง” ให้พังเร็ว มากกว่าดันให้สูงขึ้น แต่เชื่อว่า บทเรียนที่ผ่านมาน่าจะสอนใจกันมาแล้ว !!