xs
xsm
sm
md
lg

ทักษิณกลับบ้าน เริ่มต้นขั้วใหม่ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - เศรษฐา ทวีสิน
เมืองไทย 360 องศา

มาจนถึงนาทีนี้ ใครจะนึกว่าการเมืองไทยจะพลิกผันรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้ จากเดิมที่เคยเป็นศัตรูคู่อาฆาต จะกลายมาเป็นตรงกันข้าม ขณะที่อีกพวกหนึ่งจากที่เคยอยู่ฝั่งเดียวกัน และมีต้นตอมาจากฐานเดียวกัน ต้องมาเป็นคู่แข่งที่ต้องฟาดฟันกันในวันข้างหน้า

แน่นอนว่าตลอดทั้งวันที่ 22 สิงหาคม ทุกสายตาไม่ว่าจะเป็นคอการเมืองหรือไม่ ย่อมต้องจับจ้องสายตาไปที่ความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่เดินทางกลับประเทศในรอบเกือบยี่สิบปี กับการประชุมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งทั้งสองเรื่องล้วนมีความเชื่อมโยงกัน รวมไปถึงอนาคตทางการเมืองข้างหน้าอีกด้วย

เริ่มจากความเคลื่อนไหวแรก ตั้งแต่เช้าวันที่ 22 สิงหาคม ที่สนามบินดอนเมือง ที่นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับมาด้วยเครื่องบินส่วนตัว เมื่อราว 9.00 น. โดยมีคนในครอบครัว แกนนำพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงคนเสื้อแดง ที่ยังรักเขาอยู่ไปต้อนรับอยู่ด้านนอก นอกเหนือจากการทักทายคนในครอบครัวญาติมิตร และกลุ่มผู้สนับสนุนแล้ว ที่ต้องจับตาก็คือการถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จและเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.24 น. นายทักษิณ พร้อมลูกทั้ง 3 คน ได้เดินออกมาบริเวณด้านหน้าอาคาร MJETS ไม่มีหลานหลานทั้งเจ็ดคน ซึ่งรออยู่ภายในอาคารเนื่องจากยังเป็นเด็ก โดยเมื่อเดินออกมาถึงนายทักษิณได้โค้งคำนับต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี จากนั้นได้นำพวงมาลัย ที่ น.ส.พินทองทา ลูกสาวเป็นผู้ถือถวายบนพาน ก่อนก้มกราบ ด้วยสำนึกพระมหากรุณาธิคุณ

จากนั้น นายทักษิณ ได้ลุกขึ้นยกมือไหว้มายังกลุ่มแกนนำและสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่มาให้การต้อนรับ พร้อมโบกมือให้มวลชนคนเสื้อแดง ที่มารอต้อนรับบริเวณด้านหน้า และด้านข้างอาคารเอ็มเจ็ท และยกมือไหว้สวัสดีทักทายช่างภาพสื่อมวลชน พร้อมกับบุตรทั้งสามคน พร้อมกล่าวว่า “สวัสดี ขอบคุณทุกๆ คน” ก่อนที่จะเดินกลับไปยังมุมที่แกนนำและสมาชิกพรรคเพื่อไทย และไปจับมือทักทาย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนอื่นๆ เช่น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค เป็นต้น ก่อนจะโบกมือทักทายมวลชนอีกครั้ง เนื่องจากอยู่ระยะไกล ทำให้กลุ่มมวลชนส่งเสียงโห่ร้อง แสดงความยินดี ที่ได้เห็นภาพนายทักษิณ ตัวเป็นๆ กลับมาแล้ว ก่อนที่นายทักษิณ จะกลับเข้าไปในอาคารเอ็มเจ็ท เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป โดยใช้เวลาเพียงประมาณ 2 นาที

ขณะเดียวกันสำหรับ นายทักษิณ เวลานี้ถือว่ากำลังกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยมีคดีที่เขาต้องรับโทษตอนนี้มีทั้งสิ้น 3 คดี ดังนี้

1.คดีทุจริตปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ ตัดสินเป็นคดีแรกเมื่อ 23 เม.ย.62 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ อม. 4/2551 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 3 ปี

2.คดีหวยบนดิน ตัดสินเป็นคดีที่ 2 เมื่อ 6 มิ.ย.62 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปี ไม่ได้ขอให้นับโทษต่อจากคดีเอ็กซิมแบงก์

3.คดีแก้สัมปทานเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป ตัดสินเป็นคดีที่ 3 เมื่อ 30 ก.ค.63 เป็นคดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551 ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 5 ปี และให้นับโทษต่อจากคดี เอ็กซิมแบ็งก์ (คดีที่ 1) และหวยบนดิน (คดีที่ 2) เนื่องจากคดีหวยบนดิน ไม่ได้มีการให้นับโทษต่อจากคดีเอ็กซิมแบงก์

คดีเอ็กซิมแบงก์ กับคดีหวยบนดิน จึงจะนับโทษซ้อนกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 ที่บัญญัติให้โทษจำคุกเริ่มตั้งแต่วันมีคำพิพากษา

ซึ่งวันที่ นายทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทยวันนี้ ศาลจะออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุด หรือ หมายแดง ให้เริ่มนับโทษจำคุกในคดีเอ็กซิมแบงก์ และหวยบนดิน ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค.66 เป็นต้นไป พร้อมกันทั้ง 2 คดีเลย

ส่วนคดีชินคอร์ป ศาลฎีกาจะออกหมายจำคุกคดีถึงที่สุด หรือ หมายแดง ให้เริ่มนับโทษจำคุก หลังจากที่รับโทษในคดีเอ็กซิมแบงก์ และคดีหวยบนดินเสร็จสิ้นแล้ว

รวมแล้ว จำคุก 3 คดี เป็นระยะเวลา 8 ปี ( 3 ปี (คดีที่ 1= 3 ปี , คดีที่ 2 = 2 ปี นับโทษซ้อนกัน ) +5 ปี) โดยคดีที่ 1 กับ 2 นับโทษซ้อนกัน ส่วนคดีที่ 3 รอนับต่อหลังจากรับโทษคดี 1 และ 2 เสร็จสิ้นแล้ว

อย่างไรก็ดี ในฐานะนักโทษหรือผู้ต้องขังที่ต้องคำพิพากษาคดีถึงที่สุดและต้องนำตัวเข้าคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งก็มีระเบียบและขั้นตอนดำเนินการ รวมไปถึงระเบียบของนักโทษสำหรับผู้ที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป โดยในช่วงบ่ายวันเดียวกัน หลังจากที่เจ้าหน้าที่นำตัว นายทักษิณ เข้ามาคุมขังแล้ว ทางผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์ ได้แถลงถึงขั้นตอนการดูแลผู้ต้องขัง โดยเฉพาะผู้ต้องขังที่มีอายุมาก

ต่อมาที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายสิทธิ สุชีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ร่วมแถลงข่าว

ที่น่าสนใจก็คือ นพ.วัฒน์ชัย กล่าวว่าจากการตรวจสุขภาพ พบประวัติ 4 โรค คือ 1. โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ต้องทานยาบะลายลิ่มเลือด 2. โรคปอด ซึ่งพบว่าเคยเป็นโรคปอดอักเสบรุนแรง จากการเคยเป็นโรคโควิด -19 แม้รักษาหายแล้วแต่เป็นพังผืด 3. ความดันโลหิตสูง ต้องรักษาโดยการรับประทานยา 4. ภาวะเสื่อมตามอายุ ซึ่งปัจจุบันนายทักษิณมีอายุ 74 ปี มีภาวะกระดูกสันหลังเสื่อม และมีการกดทับเส้นประสาท ทำให้การเดินทรงตัวผิดปกติแต่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จึงเข้าข่ายเป็นกลุ่มเปราะบางจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่เฝ้าระวัง

ขณะที่ นายนัสที กล่าวว่า กลุ่มเปราะบางจะต้องดูแลตามมาตรการระเบียบกรมราชทัณฑ์ต้องมีแดนเพื่อรักษาความปลอดภัย และทำกิจกรรมอื่นๆ ก็เช่นเดียวกับผู้ต้องขังคนอื่น ส่วนการพบทนายและการเยี่ยมญาติ เป็นไปตามหลักปฏิบัติของผู้ต้องขัง

นายนัสที กล่าวด้วยว่า สำหรับขั้นตอนการทำเรื่องอภัยโทษผู้ต้องขังสามารถยื่นเรื่องได้ทันทีภายหลังเข้าเรือนจำ โดยนายทักษิณ หรือญาติยื่นเอกสารให้ทางเรือนจำ จากนั้นคณะกรรมการพิจารณาส่งเรื่องไปยังกรมราชทัณฑ์และจะพิจารณาก่อนส่งไปยังกระทรวงยุติธรรม เพื่อส่งเรื่องไปยังนายกรัฐมนตรีลงนาม และยื่นถึงสำนักองคมนตรี โดย นายทักษิณ ยื่นขออภัยโทษเป็นการเฉพาะราย ทั้งนี้กระบวนการจะเสร็จสิ้นไม่เกิน 2 เดือน

นั่นคือความเคลื่อนไหว ระเบียบ และขั้นตอน ตั้งแต่ที่นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับมาประเทศไทย ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ถูกนำตัวเข้าเรือนจำ รวมไปถึงขั้นตอนกระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษ พิจารณาตามรูปการณ์แล้ว เชื่อว่าเขาอาจอยู่ในเรือนจำไม่นาน ด้วยเหตุผลคือ เป็นผู้สูงอายุเนื่องจากมีอายุเกิน 70 ปี และมีโรคประจำตัวหลายโรค เป็น “กลุ่มเปราะบาง” อาจจะมีการขอนำตัวออกมาดูแลในโรงพยาบาลข้างนอก จากนั้นก็มีการขอพระราชอภัยโทษ แม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ภายหน้า ไม่รู้ว่าผลออกมาแบบไหน แต่ลึกๆ ก็เชื่อว่าเขาจะอยู่ในเรือนจำไม่นาน

นั่นเป็นเรื่องของกระบวนการตามขั้นตอน แต่ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาในภาพรวมที่มองทุกอย่างทางการเมืองที่ล้วนเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่การโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่มีแนวโน้มสูงมากที่ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยจะได้รับการโหวตเห็นชอบ โดยเฉพาะจะได้รับเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.รวมไปถึงกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางกลับประเทศไทย เพราะเชื่อว่าทุกอย่างผ่าน “การเจรจาที่ลงตัว” ไปเรียบร้อยแล้ว

และในที่สุด นายเศรษฐา ทวีสิน ก็ได้รับเสียงโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไปตามความคาดหมาย

นับจากนี้ไป ก็จะได้เห็น “ขั้วใหม่” ปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ในแบบที่คาดไม่ถึง และไม่ต้องแปลกใจที่หลายคนตั้งตัวไม่ทัน และทำใจไม่ได้ กับการที่ พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลแบบ “สลายขั้ว” โดยเป็นขั้วตรงข้ามกับพรรคก้าวไกล ส่วนขั้วใหม่ที่ว่านั้นจะเป็น “อนุรักษ์นิยมใหม่” ที่มีเพื่อไทยเป็นแกนนำ ส่วนจะใช่หรือไม่ ก็ให้พิจารณาจากคะแนนโหวตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มีเสียงหนุนจาก ส.ว.ท่วมท้น และภาพที่นายทักษิณ ชินวัตร ก้มกราบพระบรมฉายาลักษณ์ ทุกอย่างก็เป็นคำอธิบายอยู่ในตัวแล้ว !!


กำลังโหลดความคิดเห็น