เมืองไทย 360 องศา
สำหรับพรรคเพื่อไทยเวลานี้ หากบอกว่าเมื่อจำเป็นต้องเดินไปให้ถึงเป้าหมายที่สำคัญ มันก็ต้อง “เดินไปให้สุด” ทำให้เต็มที่แบบไม่ต้องไปสนใจความรู้สึกของใครมากนัก เหมือนกับในเวลานี้ที่พรรคเพื่อไทย ต้อง “เป็นรัฐบาลให้ได้” สถานเดียวเท่านั้น ไม่ใช่เข้ามาเพื่อเป็นฝ่ายค้าน
อย่างไรก็ดี นาทีนี้หากให้รวบรัดตัดความแล้ว จะเห็นว่า บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ที่พรรคเพื่อไทยไปรวบรวมมาจำนวน 9 พรรค มันก็มีเสียงรวมกันแค่ 238 เสียงเท่านั้น ยังไม่พอสำหรับรัฐบาลเสียงข้างมากจำนวน 251 นี่ไม่ต้องพูดถึงด่านแรกที่ต้องเจอตอนโหวตรับรองนายกรัฐมนตรี ที่ต้องใช้เสียงรวมกันถึง 375 เสียง และต้องใช้เสียงของ ส.ว.ร่วมด้วย มันถึงได้บอกว่า “ถ้าไม่มีลุงมันก็ไม่มีรัฐบาลเพื่อไทย”
ส่วนจะมาทั้ง “สองลุง” คือ พรรคพลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ หรืออาจจะเอาแค่ “หนึ่งลุง” พรรคใดพรรคหนึ่ง เพราะทั้งสองพรรคดังกล่าว รวมกันได้ 40+36=76 เสียง รวมทั้งจะมีหลักประกันด้วยเสียงสนับสนุนจากส.ว.อีกจำนวนหนึ่งด้วย ทุกอย่างถือว่า โอเคผ่ายฉลุย
เพียงแต่ว่า ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยก็ติดกับดักตัวเองเหมือนกัน ในเรื่อง “ฝ่ายประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการ” แบ่งขั้วการเมืองกันคนละฝั่ง ย้ำในเรื่องการสืบทอดอำนาจ “3ป.” สารพัด แม้ว่ามันก็เป็นความจริงที่ต่อเนื่องมาจากสถานการณ์ในอดีตนานนับเกือบยี่สิบปี แต่ในปัจจุบันเมื่อผลการเลือกตั้งที่ผิดเป้าหมาย นั่นคือ พรรคเพื่อไทยแพ้การเลือกตั้ง ไม่ได้ “แลนด์สไลด์” อย่างที่คาดเอาไว้ และการเมืองก็พลิกผัน กลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทย ต้องกลายเป็น “คู่แข่ง” ที่แท้จริงกับพรรคก้าวไกลจากเดิมที่มีฐานเสียงเดียวกัน มีฐานมวลชนเดียวกัน
ดังนั้น สิ่งที่ทั้งสองพรรคพยายามจับมือกันตั้งรัฐบาลก่อนหน้านี้ โดยอ้างว่าเป็น “รัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย” ทำตามฉันทามติของประชาชน นั้นที่ผ่านมาอาจมองได้ว่ามันเป็นเพียงแค่ “ละคร” ฉากใหญ่ ที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการรักษา หรือ “แย่งด้อม” ให้ไปอยู่กับตัวเองให้มากที่สุดเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เกมนี้พรรคเพื่อไทยอาจเป็นรองพรรคก้าวไกล เพราะเป้าหมายคนละอย่างกัน เมื่อเทียบกับพรรคก้าวไกลที่สามารถเล่นบทบาทแบบเดิมไปได้เรื่อยๆ และที่สำคัญสามารถรอเป็นฝ่ายค้านได้ เพราะ “เจ้าของพรรคตัวจริง” ต้องการให้รอ ยังไม่ต้องการให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มา “แย่งซีน” เพื่อล้ำหน้าไปเป็นนายกรัฐมนตรี ถึงได้ไม่ยอมถอยนโยบายแก้ไข มาตรา 112 เพื่อปิดโอกาสของนายพิธา ไปอย่างน่าเสียดาย
ขณะที่เมื่อหันมาทางฝั่งพรรคเพื่อไทย หากหลายคนมองออกว่า “เจ้าของพรรคคือใคร” ใช่ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ แค่นี้มันก็ย่อมมองเห็นเป้าหมายได้ชัดเจนอยู่แล้วว่า พวกเขาต้องการเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน แน่นอนว่าต้องการเป็นฝ่ายรัฐบาล มีอำนาจรัฐในมือ หลังจากห่างหายไปนานนับสิบปี และที่สำคัญงานนี้เป้าหมายที่พ่วงมา ก็คือ “กลับบ้าน” ทุกอย่างมันก็ชัดเจน และเป็นคำตอบอยู่ในตัวอยู่แล้ว
แต่เมื่อการจัดตั้งรัฐบาลคราวนี้ ที่พรรคเพื่อไทยพลิกกลับมาเป็นแกนนำ แต่ยังติดขัด “กระมิดกระเมี้ยน” ในตอนแรกเรื่อง “ลุง” เข้ามาร่วม เนื่องจากมีมวลชนที่ “ฝังใจ” มานาน โกรธแค้น และทำให้เสียฐานเสียงไปบางส่วน ทั้งที่ในทางการเมืองตามความเป็นจริงตั้งแต่ในเวลานี้ไปจนถึงอนาคตข้างหน้าแล้ว ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามของพรรคเพื่อไทยที่แท้จริงแล้ว คือ “พรรคก้าวไกล” ต่างหาก ไม่ใช่ลุง หรือพรรคของลุง แต่ก็อย่างว่า บางครั้งมันก็ยังปรับอารมณ์ไม่ทัน ยังงงๆ มองไม่ออกก็ได้
อย่างไรก็ดี เมื่อเป้าหมายเดิมยังดำรงอยู่ นั่นคือ พรรคเพื่อไทยต้องเป็นรัฐบาล และต้อง “มีลุง” ในที่สุดมันก็ปิดไม่มิดอยู่แล้ว ต้องเดินไปทางนั้น ล่าสุด ตัวแทนพรรคพลังประชารัฐ คือ นายไผ่ ลิกค์ กรรมการบริหารพรรค ที่ถือว่ามีบทบาทสำคัญก็ออกมายืนยัน (วันที 10 ส.ค.) ว่า พรรคพลังประชารัฐจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทยและมากันทั้งพรรค รวมทั้ง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคด้วย
นายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนพรรคพลังประชารัฐในการโหวตนายกรัฐมนตรี ว่า ตั้งแต่พรรคพลังประชารัฐไปคุยที่พรรคเพื่อไทย จนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้มีการทาบทามอะไร แต่ในกลุ่มของเราคุยกันแล้ว เห็นว่าประเทศจำเป็นต้องมีรัฐบาลเร่งด่วน เพราะปัญหาหลายเรื่องในประเทศ เป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขเร่งด่วน จึงควรต้องมีรัฐบาล เราจึงจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย โดยที่พรรคพลังประชารัฐจะไม่ขาดแม้แต่คนเดียว และหากมาก็มาทั้งหมด
ถามว่า ได้ปรึกษา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แล้วหรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า จากการไปคุยกันคร่าวๆ เกี่ยวกับนโยบายที่อยากผลักดันร่วมกัน อาทิ ที่ดินสปก. ภัยแล้ง การเพิ่มเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และบัตรประชารัฐ ก็ได้รับการสนับสนุน ที่สำคัญ เราเคยทำงานกับพรรคเพื่อไทยมาก่อน ตนเคยเป็นเด็กเก่าเพื่อไทย จึงเชื่อว่าจะทำให้ผ่าวิกฤตทางการเมือง และเศรษฐกิจ ทั้งหมดได้ ที่สำคัญคือ ก่อนหน้านี้ที่พรรคก้าวไกลเลือกนายกฯ ตนก็ได้รับการประสานจากพรรคก้าวไกล ให้ช่วยโหวต ตนจึงคิดว่าว่าไม่แปลกที่วันนี้เราพร้อมจะให้บ้านเมืองก้าวข้ามปัญหาตรงนี้ไป
เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐจะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ด้วยหรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า ไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้ แต่คิดว่าเป็นเรื่องเล็ก เราคิดว่าทำให้ผ่านตรงนี้ไปก่อนค่อยว่ากัน ถ้าพรรคเพื่อไทยทำได้ดีอย่างที่พูด ถ้าเรามีโอกาสก็พร้อมทำเต็มที่ แต่ถ้าไม่มีโอกาส ก็พร้อมตรวจสอบเต็มที่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ยังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องรัฐบาล คุยแต่นโยบาย ซึ่งจุดยืนของเรา “มีลุงไม่มีแล้ง”
เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร ยังอยู่ใช่หรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า “ลุงอยู่สิครับ” ส่วนจะมีเงื่อนไขอะไรหรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า ไม่ได้มีการตกลงร่วมรัฐบาลกัน แต่เราสนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาลได้ก่อน
เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร รับทราบ หรือยินยอมแล้วหรือไม่ นายไผ่ กล่าวว่า เราคุยนโยบายกันดีกว่า หากตั้งรัฐบาลแล้วพรรคเพื่อไทยพร้อมเอานโยบายต่างๆ ของแต่ละพรรคมาทำ ตนเห็นว่าเป็นข้อดี หากจะเว้นไป 10 เดือน สู้มีรัฐบาลดีกว่าหรือไม่ เราไม่มีข้อแม้ ไม่มีข้อเสนออะไรทั้งนั้น เราไม่ต้องแจ้งพรรคเพื่อไทย แต่เราจะออกมาเต็มที่และย้ำว่าพวกเราไปกันทั้งหมด
สอดคล้องกับคำพูดของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้เปิดเผยในลักษณะที่สอดคล้องกันว่า ที่ผ่านมาได้พูดคุยกับนายธนกร วังบุญคงชนะ และนายอนุชา นาคาศัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเคยอยู่ในกลุ่ม “สามมิตร” ด้วยกันมา โดยเขายอมรับว่า มีความพยายามโน้มน้าวให้มาร่วมรัฐบาล แต่จะเป็นการเข้ามาในลักษณะที่เข้ามาทั้งพรรค หรือเป็นมติพรรค ซึ่งที่ผ่านมา นายธนกร ก็เคยให้สัมภาษณ์ย้ำว่าทุกอย่างต้องเป็นมติพรรค
ดังนั้น เมื่อปะติดปะต่อรวมทั้งได้เห็นความเคลื่อนไหวล่าสุดมันก็ “ชัดเจนแล้วครับนาย” ว่า รัฐบาลผสมชุดใหม่ ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ จะมี “พรรคสองลุง” นั่นคือ พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ เข้ามาร่วมด้วย เมื่อองค์ประกอบเป็นแบบนี้ มันก็ทำให้เสียงสนับสนุนเพียงพอ และมีหลักประกันจากเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.แบบไม่มีปัญหาอีกด้วย !!