xs
xsm
sm
md
lg

เพื่อไทยจับมือ ภท. “อนุทิน” ทางโล่ง !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เศรษฐา ทวีสิน - อนุทิน ชาญวีรกูล - พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
เมืองไทย 360 องศา



กลายเป็นว่าเวลานี้พรรคเพื่อไทย หลังจากที่ฉีกเอ็มโอยูกับพรรคก้าวไกล และกลายเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลแล้ว แต่หนทางไม่ได้ราบรื่น ตรงกันข้ามเหมือนกับว่ากำลังเจอกับอุปสรรค และมีความเสี่ยงที่จะพลิกผันอีกรอบ เพราะอย่างที่รู้กันว่าพรรคเพื่อไทย คิดที่จะเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯของพรรคให้ที่ประชุมรัฐสภาโหวตรับรอง แต่เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบหลายๆอย่างรอบตัวแล้ว ทำให้มองเห็นแนวโน้มข้างหน้าแล้วว่าน่าจะเป็นไปได้ยาก

การแฉเรื่องการซื้อขายที่ดินของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่เขาเคยเป็นผู้บริหาร เกี่ยวกับเรื่องภาษี มันก็ทำให้เกิดความ “ชะงัก” และกลายเป็นจุดอ่อน อีกทั้งยังมีเรื่องคำพูดเรื่อง “แก้ไขมาตรา 112” รวมไปถึงคำพูดที่บอกว่า “ไม่เอาลุง” จนทำให้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการโหวตรับรองจากสมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะเมื่อต้องการเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.

ทั้งสามเรื่องดังกล่าว ถือว่าเป็น “อุปสรรค” สำคัญสำหรับ นายเศรษฐา ในการที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 เอาเฉพาะเรื่องแรก แค่ “ปมภาษีที่ดิน” ที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองและอดีตนักธุรกิจบันเทิงออกมาเปิดโปง ก็ทำให้สะดุดกึกแล้ว ล่าสุด ยังต้องเจอกับการเคลื่อนไหวรับลูกของ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.นักร้องมืออาชีพ ที่มีส่วนสำคัญทำให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกลตกเก้าอี้มาแล้วจากกรณี “ปมถือหุ้นสื่อ”

และกรณี “ปมภาษีที่ดิน” ของนายเศรษฐา ทวีสิน ที่นายเรืองไกร “รับลูก” เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม เขาไปร้องคณะกรรมาธิการ (กมธ) การพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา โดยมี นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ส.ว. ในฐานะรองประธาน กมธ. คนที่สาม ว่าที่ ร.ต.วงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี ส.ว. และเลขานุการ กมธ. นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ ส.ว. และ กมธ. เพื่อขอให้ตรวจสอบข้อกล่าวอ้างที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย กรณีเมื่อปี 2562 บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่นายเศรษฐา ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด และกรรมการ แสนสิริ ได้ซื้อที่ดินย่านถนนสารสิน โดยมีพฤติกรรมเข้าข่ายเลี่ยงการเสียภาษี หรือไม่ และเข้าข่ายมีพฤติกรรมส่อว่าเป็นบุคคลที่อาจขาดคุณสมบัตินายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(4) ว่าด้วยมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่

นายเรืองไกร กล่าวว่า ขอให้ กมธ. ตรวจสอบเรื่องที่ถูกอ้างถึง นายเศรษฐา ก่อนที่จะมีการเสนอชื่อและโหวตให้เป็นนายกฯ ซึ่งคาดว่า จะเกิดขึ้น 10 วันหลังจากนี้ โดยขอให้เรียกข้อมูลจาก นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จากบริษัทแสนสิริ ในส่วนของแคชเชียร์เช็ค ซื้อขายที่ดิน สัญญาซื้อขาย รวมถึงรายละเอียดของการชำระภาษี เพื่อพิสูจน์ว่าหนีภาษีหรือไม่ กรมสรรพากร รวมถึงผู้ขายทุกรายมาให้ข้อมูล

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของตน พบว่า ผู้ขายที่ดินทั้ง 12 รายนั้น ระบุว่า ไม่ทราบเขตที่ดินที่ชัดเจน แม้ผู้ขาย 12 ราย จะเสียภาษีตามใบเสร็จ แต่ไม่ใช่ภาษีอากร หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม และในเรื่องดังกล่าว มีกฎหมายว่าด้วยการเสียภาษีไว้เฉพาะ เพราะบุคคล 12 ราย ได้รับโอนที่ดินเมื่อปี 2561 ก่อนจะขายในปี 2562 ซึ่งตามกฎหมายแล้ว ต้องเสียภาษีเฉพาะธุรกิจ ในกรณีที่ถือครองที่ดินไม่เกิน 5 ปีด้วย

ขณะที่บริษัท แสนสิริ ถือว่าเป็นบริษัทเอกชนที่ร่วมลงนามในข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจที่โปร่งใส ซึ่งในกรณีที่เกิดขึ้น พบว่าที่ดินที่บริษัทซื้อขายนั้นอยู่ระหว่างการพัฒนา มูลค่า 1,600 ล้านบาท แต่ในปี 2561 พบมูลค่าที่สูงถึง 1.3 หมื่นล้านบาท และปี 2562 พบว่ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.8 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ในการซื้อขายที่ดินของบริษัท แสนสิริ ในปีดังกล่าวต้องตรวจสอบในส่วนของราคาที่ดิน และมีการเสียภาษีร่วมด้วยหรือไม่

นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า หนักใจแทน นายเศรษฐา ทวีสิน หลังถูกตรวจสอบกรณีการซื้อขายที่ดิน ทั้งจากนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ และ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ยื่นให้คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภาตรวจสอบ ว่าเรื่องดังกล่าวมีประเด็นที่เกี่ยวกับจริยธรรมหรือไม่ อย่างไรก็ดี ตนเอาใจช่วยนายเศรษฐา และขอให้ชี้แจงรายละเอียดให้ชัดเจน เพราะหากชี้แจงไม่ชัดเจน นายเศรษฐา อาจไม่ได้รับเลือก

“ผมมั่นใจว่า การโหวตนายกฯ จะต้องได้นายกฯ คนที่ 30 แน่นอน แต่ผมเดาว่าคนที่เป็นนายกฯ จะไม่ได้มาจากพรรคเพื่อไทย ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่า เรื่องนายเศรษฐานี้ จะขอให้โหวตเห็นชอบไปก่อนแล้วสอยทีหลังนั้น ผมมองว่าเรื่องนายกฯ เรื่องบ้านเมืองไม่ใช่การทดลอง ประเทศไม่ใช่การเล่นขายของ ดังนั้นคนที่จะเป็นนายกฯ ต้องถูกตรวจสอบอย่างดีที่สุด ผมมองว่า แม้จะมีคนดีไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือคนชั่วไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คนที่เป็นนายกฯ ต้องใสสะอาด มีจริยธรรม หากโหวตนายกฯรอบ 3 ชื่อนายเศรษฐา ถูกเสนอต่อรัฐสภา ผมรู้สึกหนักใจแทน” นายกิตติศักดิ์ ระบุ พร้อมกับสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

ขณะเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าจับตามอง ก็คือ เมื่อเย็นวันที่ 7 สิงหาคม พรรคเพื่อไทย โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแกนนำพรรค ร่วมแถลงกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และแกนนำพรรค ในการร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยระบุว่า เบื้องต้นสองพรรครวมได้ 212 เสียง และจะหามาเพิ่มให้เกิน 250 เสียง ภายใต้ 3 เงื่อนไข 1. ไม่แตะ ม.112 2. ไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และ 3. ไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล

ตอนนี้จึงชัดแล้วว่า พรรคเพื่อไทยดึงพรรคภูมิใจไทยเข้าร่วมรัฐบาลแล้ว และจะกลายเป็นว่าพรรคภูมิใจไทย เป็น “ตัวแปร” สำคัญในรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ขณะเดียวกันเพื่อไทยกับภูมิใจไทย และพรรคอื่นบางพรรคที่เคยอยู่ในเอ็มโอยู คราวที่แล้ว คงมีเสียงไม่พอ ดังนั้น ก็ต้องจับตามองไปที่พรรคพลังประชารัฐ ของ “ลุงป้อม”เป็นหลักก่อน เพื่อมีหลักประกันเรื่องคะแนนเสียงจากส.ว.หรือแม้กระทั่งพรรครวมไทยสร้างชาติ อีกด้วย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันในตอนนี้ ก็คือ ปัญหาในเรื่องแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ที่เวลานี้มีโอกาสที่จะผ่านด่านไปได้หรือไม่ เพราะมีกรณี “หนักๆ” สองสามเรื่องดังกล่าวข้างต้น ขณะที่แคนดิเดตอีกคนคือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ยังไม่พร้อม มันก็อาจเปิดโอกาสให้มีรายการ “ส้มหล่น” ใส่เท้า “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากภูมิใจไทย รวมไปถึงพรรคอันดับที่สี่ อย่างพลังประชารัฐ ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “รอเสียบ” อยู่ ก็มีความเป็นไปได้ สูง

จะว่าไปแล้ว เวลานี้พรรคเพื่อไทยก็ถือว่า “สูญเสียพลังต่อรอง”ไปมาก หลังจากที่ฉีกเอ็มโอยู กับพรรคก้าวไกล ไปก่อนหน้านี้ รวมไปถึงได้เห็นภาพของ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ยัง “หลอน” อยู่แถวกัมพูชา เมื่อสองสามวันก่อน หลังจากอ้างเรื่อง “มีนัดกับหมอ” จนต้องเลื่อนกลับไทย ในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ ซึ่งนั่นเป็นภาพลบทั้งของนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ที่ถูกมองว่าเชื่อมโยงกันไปถึงการตั้งรัฐบาลที่ยังไม่ลงตัว

เมื่อทุกอย่างยังไม่ลงตัว และดูเหมือนว่าพรรคเพื่อไทย กำลังสูญเสียอำนาจต่อรองลงมาเรื่อยๆ ทำให้หลายคนมองว่าโอกาสที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอาจเป็นของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หรือแม้แต่ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพราะนาทีนี้ หากทั้งภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไปถึงรวมไทยสร้างชาติ “แพ็กกันแน่น” มันก็ต่อรองกดดันได้ทุกตำแหน่ง ขณะที่เพื่อไทย ในความเป็นจริงแล้วอาจได้แค่ “แกนรอง” ไม่ใช่แกนนำก็ได้ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น