xs
xsm
sm
md
lg

เปิดภาพ"เศรษฐา"จับมือ"ชูวิทย์" ฟ้องความจริงมีหนึ่งเดียว ทีเด็ด "เด็จพี่" ขยี้ "ชูแว้บ" จอมแบล็กเมล์ **“เพื่อไทย-ภูมิใจไทย” จับมือเป็น “ขั้วใหม่” มีเสียงตั้งต้น 212 เสียง ที่เหลือคงต้องจับตาว่าจะต้องเทียบเชิญพรรคใดมาร่วมบ้าง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**เปิดภาพ"เศรษฐา"จับมือ"ชูวิทย์" ฟ้องความจริงมีหนึ่งเดียว ทีเด็ด "เด็จพี่" ขยี้ "ชูแว้บ" จอมแบล็กเมล์


มาจะกล่าวบทไปถึง"ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" ออกมาเคลื่อนไหวกล่าวหา "เศรษฐา ทวีสิน" แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย มีเจตนาหลบเลี่ยงภาษีซื้อขายที่ดินย่านสารสิน นอกจาก "เศรษฐา" จะส่งทนายฟ้องกลับ ข้อสงสัยที่ว่า อดีตเจ้าของอาบอบนวด หยิบเรื่องนี้มาปั่นก็เพราะต้องการ "แบล็กเมล์" บีบให้"เศรษฐา" และบริษัทแสนสิริ ยอมจ่ายเงิน1,800 ล้าน ซื้อที่ดินตัวเอง ดูจะทำให้ชูวิทย์ ต้องบรรเลงละครลิงแก้ต่างแก้ตัวเหนื่อยแน่

ยิ่งเพื่อไทยส่ง "พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” อดีตพระเอก ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย และเพื่อนผู้ร่วมเรือนจำเดียวกันกับ ชูวิทย์ เจ้าของฉายา "เด็จพี่" ออกมาขยี้ปมนี้ก็ถึงคราครางฮือไปทั่วโซเชียลฯ

“เด็จพี่” ไม่ได้มารำโชว์ แต่ตั้งคำถามรัวๆกับ"ชูวิทย์”... “แฉเพื่อชาติ หรือแฉเพื่อใคร?” ทำไมตั้งนานไม่แฉ ทำไมจ้องจะเล่นงาน “เศรษฐา” คนเดียว

“ชูวิทย์” เอาแพะชนแกะ พูดความจริงเพียงครึ่งเดียว การซื้อขายของแสนสิริ เป็นไปตามระเบียบของกรมที่ดิน และ สรรพากร โดยข้อเท็จจริง “เด็จพี่”ขอยืนยัน

ครั้น “ชูวิทย์” พอโดนจับเท็จได้ก็โหวกเหวกโวยวายว่า ไม่เคยเสนอขายที่ดินให้ เศรษฐา หรือ แสนสิริ โดยอ้างอีกว่าเศรษฐา เคยมาติดต่อถามว่าจะขายหรือไม่ แต่ตัวเองยืนยันไม่ขาย เพราะรับมัดจำบริษัทเจ้าอื่นมาแล้ว 400 ล้านบาท

เศรษฐา ทวีสิน จับมือกับ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
งานนี้ "เด็จพี่" พร้อมพงศ์ จึงงัดหลักฐานเด็ด ที่ต้องบอกว่า ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน นั่นก็คือ ภาพการจับมือกันระหว่าง “เศรษฐากับชูวิทย์” ซึ่ง “เด็จพี่”ระบุว่า เป็นภาพที่ถ่ายเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565

เบื้องหลังภาพ ว่ากันว่า เกิดขึ้นหลังจากที่ เศรษฐาและชูวิทย์ เจรจาหลักการซื้อขายที่ดินกันได้เบื้องต้น

“เด็จพี่” บอกว่า นี่คือการจับโกหก คำโตของอดีตเจ้าของอาบอบนวด ที่อวดตัวว่าเป็นนักแฉ แต่ที่แท้คือ แฉไปไถไป!!

เท่าที่รู้มาก็พยายามตื๊อให้ “แสนสิริ”ซื้อที่แปลงนี้อยู่หลายครั้ง แต่เมื่อบริษัทตรวจสอบแล้วติดขัดปัญหา ติดสัญญาภาระผูกพันอยู่กับอีกเจ้าหนึ่งที่ยังไม่เคลียร์ จึงขอให้ชูวิทย์ เคลียร์ปัญหาก่อน จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ได้ จนทำให้การซื้อขายกันระหว่าง เศรษฐา หรือ แสนสิริ กับ ชูวิทย์ ไม่ได้ไปต่อ

“เด็จพี่” หลังจากโชว์ทีเด็ดยังบอกได้ว่า ตัวเองรู้จัก “ชูวิทย์” ดี พฤติกรรมชูวิทย์ เมื่อก่อนพูดอย่าง ทำอีกอย่าง เชื่อถือไม่ได้ ลับหลังตัวเองจึงเรียก “ชูแว้บ” ตลอด

“เด็จพี่” พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์
หลักฐานภาพถ่ายที่สั่งทำพิเศษลงบนป้ายไวนิลขนาดใหญ่ ที่ “เด็จพี่” นำมาโชว์ในการแถลงข่าว เห็นว่าภายหลังไม่ได้เก็บกลับ “พร้อมพงศ์”กลัว “ชูวิทย์” จะความจำสั้น จึงเรียกแมสเซนเจอร์ ให้นำไปส่งที่โรงแรมเดอะเดวิส สุขุมวิท 24

เรียกว่า ส่งด่วนไปถึงมือชูวิทย์กันเลยทีเดียว

เจอทีเด็ดของเด็จพี่แบบนี้ ชูวิทย์จะว่าอย่างไร ?.. เพราะภาพมันฟ้อง ความจริงมีหนึ่งเดียว!!

**“เพื่อไทย-ภูมิใจไทย” จับมือเป็น “ขั้วใหม่” มีเสียงตั้งต้น 212 เสียง ที่เหลือคงต้องจับตาว่าจะต้องเทียบเชิญพรรคใดมาร่วมบ้าง

หลังจากพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ฉีกเอ็มโอยู 8 พรรค ผลักก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน เตรียมข้ามขั้ว ไปร่วมรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม แต่ยังไม่ทันประกาศว่าจะร่วมกับพรรคใดบ้าง ก็บังเอิญที่ศาลรัฐธรรมนูญ ประกาศเลื่อนการวินิจฉัย เรื่องการยื่นญัตติซ้ำเพื่อโหวต “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนดิเดตนายกฯจากพรรคก้าวไกล ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากวันที่ 3 ส.ค. ไปวันที่ 16 ส.ค.

อนุทิน ชาญวีรกูล แถลงข่าวร่วมกับนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว
ทำให้ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภา ต้องเลื่อนการโหวตนายกรัฐมนตรี (4 ส.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย ประกาศออกมาแล้วว่าเป็น “เศรษฐา ทวีสิน” ออกไปด้วยโดยไม่มีกำหนด

มีเสียงวิพากวิจารณ์ตามมาว่า ที่ต้องเลื่อนโหวตนายกฯ เนื่องจากเพื่อไทยยังไม่พร้อม ยังหาเสียงสนับสนุนได้ไม่ถึง 376 เสียง โดยเฉพาะเมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ประกาศเลื่อนกลับไทยออกไปก่อน ยิ่งเป็นเหตุผลที่มาสนับสนุนว่า เพื่อไทย ยังไม่ชัวร์ การเจรจาจัดตั้งรัฐบาลยังไม่ลงตัวจริงๆ

ระหว่างนี้ก็มีการวิเคราะห์กันถึงความได้เปรียบเสียเปรียบในการ “ต่อรองทางการเมือง” ว่า จากเดิมแค่เพื่อไทยกับก้าวไกล ก็มี 292 เสียงแล้ว เมื่อ “เพื่อไทย” ที่มี 141 เสียง แตกหักกับ “ก้าวไกล” ที่มี 151 เสียง โดยหวังว่าจะไปดึง “กลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลเดิม” ที่มี 188 เสียงมาร่วม

ถ้าเพื่อไทย ต้องการเป็นรัฐบาลให้ได้ เกิดทาง 188 เสียง ที่มี พรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ เป็นหลัก แพกกันแน่น ไม่ยอมแยกกันออกมา เพื่อไทยก็เหมือนถูกขี่คอ เขาจะต่อรองเอากระทรวงไหนก็ต้องยอม ...หรือหนักถึงขั้นยอมแม้กระทั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

พรรคก้าวไกล ย่อมรู้สถานการณ์อันคับขันและยากลำบากของเพื่อไทยดี เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา บรรดา ส.ส.ก้าวไกล จึงออกมาจุดกระแส หวังดึงให้เพื่อไทยกลับมากอดคอกันเหมือนเดิม

อย่างเช่น “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ถึงกับทวีตข้อความลงในทวิตเตอร์ว่า “เดินกลับแค่เสียหน้า แต่เดินหน้าจะเสียทุกสิ่ง” ...ที่บอกให้พรรคเพื่อไทยกลับมานั้น ไม่ใช่ให้มาจับมือกับพรรคก้าวไกล แต่ให้กลับมาอยู่กับฝ่ายประชาชน เราต้องอยู่ฝ่ายเดียวกับประชาชน อย่าไปตกหลุมพรางของฝ่ายอำนาจนิยมเจ้าเล่ห์ ที่ใช้วิธีแบ่งแยกแล้วปกครอง!!

ที่ผ่านมาเราอาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่เรามีอุดมการณ์ที่ใกล้เคียงกัน ก็ต้องใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อย มองผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ก้าวไกลยังมองเพื่อไทยเป็นเพื่อนกันเสมอ...

กระแสในโซเชียลฯ กำลังรบเร้าให้เพื่อไทยกลับไปคืนดีกับก้าวไกลเริ่มแรงขึ้น ฝ่ายตรงข้ามก้าวไกลจึงรีบออกมาแก้เกมทันที

พล.อ.ประวิตร วงษ์วสุวรรณ
เมื่อวานนี้ (7ส.ค.) จึงมีภาพของทั้งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยพร้อมแกนนำพรรค และ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และแกนนำพรรค ออกมาตั้งโต๊ะแถลงจับมือร่วมกันตั้งรัฐบาล เหมือนเป็น “ข้าวต้มมัด” ห่อใหม่ เจ้าใหม่ ที่มีเสียงเริ่มต้นที่ 212 เสียง ภายใต้เงื่อนไข 3 ข้อคือ 1. ไม่แตะ ม.112 2. ไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และ 3. ไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาล

ความจริง พรรคภูมิใจไทย ไม่ต้องออกมานั่งแถลง ใครๆ ก็รู้ว่า ภูมิใจไทยได้รับเลือกจากเพื่อไทยอยู่แล้ว เพราะสวิงไปได้ทั้งสองขั้ว แต่ภาพที่ได้คือ เป็นการสลายกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลเดิม 188 เสียง ที่ถูกมองว่าแพกกันแน่น ไปไหนต้องไปด้วยกัน ซึ่งไม่จริง

ที่สำคัญเป็นการ “ล็อกคอ” ไม่ให้เพื่อไทย หวนกลับไปหาก้าวไกลตามแรงยุของโซเชียลฯ

นอกจากนี้ วาระสำคัญ ที่ทั้งสองพรรค ประกาศว่าจะทำหลังการจัดตั้งรัฐบาล คือ ยึดวาระประเทศเป็นสำคัญ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ และประชาธิปไตย นำความปรองดองสมานฉันท์กลับสู่ประเทศ เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการประชุมครม. วาระแรก จะขอทำประชามติจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยการตั้ง ส.ส.ร.

ไม่มีแล้วเรื่องแก้กฎหมายปฏิรูปกองทัพ ไม่ต้องเกณฑ์ทหาร เรื่องการกระจายอำนาจเลือกผู้ว่าฯทุกจังหวัด เรื่องการทลายทุนผูกขาด ทุนพลังงาน ที่ก้าวไกลใช้หาเสียง ...ชัดว่าก้าวไกลอย่าปลุกกระแสเสียให้ยาก!!

“นพ.ชลน่าน” บอกว่า ตอนนี้ เพื่อไทยและภูมิใจไทย จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเริ่มต้นด้วย 212 เสียง และได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งขณะนี้ได้เกินกึ่งหนึ่งแล้ว แต่ยังต้องการเสียงจากทั้งส.ส.และ ส.ว. เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้

หากพิจารณาจากตัวเลข ขั้วรัฐบาลนี้ยังขาดเสียงส.ส.สนับสนุนอยู่ อย่างน้อย 39 เสียงจึงจะได้ 251 เสียง เมื่อดูจำนวน ส.ส.ของพรรคการเมืองที่เหลือ ที่อาจมาร่วมกันได้ ก็มี พลังประชารัฐ 40 เสียง รวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง ประชาธิปัตย์ 25 เสียง ชาติไทยพัฒนา 10 เสียง ประชาชาติ 9 เสียง ชาติพัฒนากล้า 2 เสียง นอกนั้นก็เป็นพรรคที่มีเพียง 1เสียง อีก 6-7 พรรค

เพื่อไทยและภูมิใจไทย จะเลือกพรรคใดบ้าง เพราะไม่ใช่ว่าแค่ได้ 251 เสียง ก็จะบริหารราชการได้ ในความเป็นจริงต้องมากกว่านั้น และการจะโหวตนายกฯ ให้ผ่านต้องได้ 376 เสียงขึ้นไป ซึ่งก็หนีไม่พ้นที่จะต้องไปพึ่งเสียง ส.ว.

แล้วรัฐบาลนี้จะเลี่ยงไม่เทียบเชิญ “พรรคลุง” มาร่วมหรือ ถ้าหวังจะโหวตนายกฯให้ผ่านในรอบเดียว ถ้าเลือกจะเป็น “พรรคลุงป้อม” หรือ “พรรคลุงตู่” หรือทั้งสองพรรค หรือจะไม่มีทั้งสองลุง อย่างที่ “หมอชลน่าน”ว่า

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าลองไล่เรียงภาพการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงสัปดาห์ สองสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้จะไม่เห็นภาพ“ลุงป้อม” ออกมาเคลื่อนไหวให้เห็นชัด แต่ก็มองข้ามไม่ได้อย่างเด็ดขาด

เปรียบเหมือนปลาใหญ่ อยู่น้ำลึก มองไม่เห็น แต่ขยับตัวแต่ละครั้งก็รับรู้ได้ถึงแรงกระเพื่อม!!


กำลังโหลดความคิดเห็น