ต้องไม่ปล่อยให้เงียบ “ตำรวจชลฯ” จับแก๊งลักลอบ-สวมสิทธิ์ส่งออก “”ตีนไก่” ขยายผลเรื่องใหญ่กว่าที่คิด ถึงขั้น “จีน” คว่ำบาตรการค้า “ไทย” ทำไม “กรมปศุสัตว์” ผู้รับผิดชอบถึงยังนิ่ง คงต้องถึงมือ “นายกฯ” สั่งตรวจสอบก่อนบานปลาย
ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ สำหรับขบวนการลักลอบส่งออก “ตีนไก่”
หลังจากที่เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 23 มิ.ย.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร จ.ชลบุรี จับกุมรถบรรทุกพ่วงขนตู้คอนเทนเนอร์บรรจุชิ้นส่วนไก่แช่แข็ง 1 คัน ได้บริเวณถนนสายบายพาส ขาเข้า “ท่าเรือแหลมฉบัง” อ.เมือง จ.ชลบุรี
ตามที่ “สาย” รายงานว่า เป็นขบวนการลักลอบส่งออกขาไก่แช่แข็ง ด้วยการสวมสิทธิ์ของบริษัทอื่นโดยไม่ถูกกฎหมาย
เมื่อตรวจสอบก็พบของกลางเป็นไก่ดิบแช่แข็ง ส่วน “ขาไก่” หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ตีนไก่” มากถึง 2.4 หมื่นกิโลกรัม โดยเอกสารใบขนส่งสินค้า ใบขนย้ายซากสัตว์ ที่คนขับนำมาแสดงนั้น ทั้งต้นทาง-ปลายทาง หรือชื่อบริษัทเจ้าของสินค้า กลับไม่ตรงกับความเป็นจริง
ตามเอกสารระบุว่า สินค้ามาจาก จ.นครสวรรค์ เพื่อส่งไปยัง จ.สมุทรสาคร แต่ความเป็นจริงคนขับสารภาพว่า ไปขึ้นสินค้ามาจากโรงงานแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสาคร เพื่อส่งไปยังท่าเรือแหลมฉบัง เตรียมการส่งออก
อีกทั้งสลากสินค้าระบุว่า เป็นของ บริษัท เบทเทอร์ฟู้ด หรือที่รู้จักกันดีในนาม “เบทาโกร” แต่กลับไปขึ้นสินค้ามาจากโรงงานที่ไม่ใช่ของบริษัท เบทเทอร์ฟู้ด
นอกจากนี้ยังมีรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่เป็นแก๊งเดียวกันอีก 1 คัน สามารถหลุดเข้าไปในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งคาดว่ารายละเอียดเอกสารต่างๆ คงมีความผิดปกติไม่ต่างกัน
ต้องชื่นชม พ.ต.อ.ศานติ กรเกษม ผู้กำกับการ สืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธร จ.ชลบุรี เจ้าของฉายา “ผกก.โจ” ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ ที่ได้ทำการจับกุม และสั่งการให้ขยายผลทางคดีอย่างตรงไปตรงมา ทั้งที่มีรายการ “ขอเคลียร์” มาเป็นระยะๆ
โดยเมื่อขยายผลก็พบว่า ขบวนการดังกล่าวเป็น “แก๊งชาวจีน” ที่สวมสิทธิ์การส่งออกชิ้นส่วนไก่ กรณีนี้คือ “ตีนไก่” เพื่อส่งออกไปยังประเทศจีน โดยความร่วมมือของ “เอกชนไทย” และมี “ฝ่ายการเมือง-ข้าราชการไทย” ร่วมรู้เห็น ทำให้กระบวนการต่างๆ “ผ่านตลอด” ก่อนมาสะดุดกับชุดจับกุมของ “ผกก.โจ”
หัวใจสำคัญของการลักลอบขนส่ง และส่งออกชิ้นส่วนไก่ไปยังต่างประเทศ ต้องมีเอกสารการขนส่ง-เคลื่อนย้ายที่ออกโดย “กรมปศุสัตว์” ที่สำคัญต้องมี “โควตา” ในการส่งออก เพราะในต่างประเทศ โดยเฉพาะ “จีน” มีมาตรการจำกัดการนำเข้าสินค้าด้วย
ตามข้อมูลของทางตำรวจพบว่า ขั้นตอนการออกเอกสารต่างๆเป็นไปด้วยความหละหลวม มีการสวมชื่อ “หมอปศุสัตว์ประจำโรงงาน” ที่ต้องเซ็นใบรับรองสุขอนามัย (Health Certificate) ก่อนออกจากโรงงาน รวมทั้งมีขบวนการ “เคลียร์” ด่านต่างๆ ให้ปล่อยผ่านไปได้ แม้ข้อมูลจะไม่ตรงตามที่ระบุในเอกสารก็ตาม
ส่วนโควตาก็ใช้วิธีการ “สวมสิทธิ์” แทนบริษัทที่มีสัญยากับทางต่างประเทศ โดยที่ “เจ้าของสิทธิ์” อาจจะรู้ หรือไม่รู้ว่าถูก “สวมสิทธิ์”
รวมทั้งยังมีขบวนการกลั่นแกล้ง “วิสาหกิจชุมชน-โรงงาน” ที่ไม่ยอมเข้าร่วมขบวนการด้วย ทำให้เกษตรกร-ผู้ประกอบการเดือดร้อนไปตามๆกัน
คนในวงการส่งออกชิ้นส่วนไก่ไปต่างประเทศรู้กันดีว่า งานนี้มี “เสี่ย ส.” เป็นโต้โผสำคัญในฝั่งไทย
เป็น “เสี่ย ส.” คนใกล้ชิดนักการเมืองที่มีอิทธิพลในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้รับไฟเขียวสั่งการข้าราชการน้อย-ใหญ่ ได้แบบไม่มีใครกล้าขัดใจ
และไม่เพียงแต่การหาประโยชน์กับการส่งออก “ไก่เถื่อน” เท่านั้น ขบวนการนี้ยังลามไปถึงการล่อลวง “นักธุรกิจชาวจีน” ให้หลงเชื่อว่า จะหาสามารถหาโตควต้าไก่เพื่อส่งออกไปยังประเทศจีนได้ จนสูญเงินไปหลายร้อยล้านบาท ทำให้ “นักธุรกิจชาวจีน” ต้องบุกมาร้องขอความเป็นธรรมถึงประเทศไทย
สิ่งที่น่าสนใจคือก่อนการจับกุมรถขน “ตีนไก่” ได้ในครั้งนี้ ก็เคยมีกระแสข่าวเรื่องทำนองนี้ออกมาเนืองๆ กระทั่งมา “โป๊ะแตก” โดนจับพร้อมหลักฐานชัดเจนครั้งนี้ แต่ปรากฎว่า ไม่มีมาตรการใดๆออกมาจาก “กรมปศุวัตว์” ที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบแต่อย่างใด
จนต้องฝากสะกิด นสพ.สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ ว่าคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับแก๊งลักลอบ-สวมสิทธิ์ส่งออกตีนไก่ที่กระทำการอุกอาจเย้ยกฎหมายเพียงนี้
เพราะไม่ใช่แค่เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่-วิสาหกิจชุมชน หรือโรงงานผลิต ที่ไม่ได้ร่วมขบวนการ และส่งออกสินค้าอย่างถูกกฎหมาย จะเดือดร้อนแสนสาหัสเท่านั้น
มีรายงานว่า “ทางการจีน” ได้รับข้อมูลถึงความไม่ชอบมาพากลของการส่งออกชิ้นส่วนไก่จากไทยไปยังประเทศจีนมาระยะหนึ่งแล้ว และมอบหมายหน่วยงาน General Administration of Customs China (GACC) หรือ “ศุลกากรจีน” ที่เป็นผู้ประเมินความปลอดภัยของโรงงานต่างๆว่า เป็นไปตามข้อกำหนดที่จะส่งสินค้าไปยังประเทศจีนหรือไม่ ทำการตรวจสอบ
เอาแค่กรณีการจับกุมที่ จ.ชลบุรี ล่าสุด ต้องบอกว่าไม่ตรงตามมาตรฐานแทบทั้งกระบวนการ รวมทั้งยังมี “จุดตาย” คือการสวมชื่อ “หมอปศุสัตว์ประจำโรงงาน” ที่ต้องเซ็นใบรับรองสุขอนามัย (Health Certificate) ที่ถือเป็นเอกสารที่ทางการจีน “ซีเรียส” มาก เพราะไม่ต้องการให้เกิดการระบาดของโรค ซ้ำรอย “โควิด” ที่ผ่านมา
ซึ่งหากพบว่ามีการกระทำผิดจริง ทางการจีนก็อาจถึงขั้น “คว่ำบาตร” ทางการค้ากับไทย แต่ไม่เฉพาะ “ตีนไก่” แต่จะเป็นการคว่ำบาตรในทุกๆสินค้า โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตร เพราะถือว่าประเทศไทย “เล่นไม่ซื่อ”
ทั้งที่ขั้นตอนขออนุญาต ออกเอกสาร จากทางราชการหยุบหยับไปหมด กลับปล่อยให้มี “ของเถื่อน” เล็ดอลดไปขายในจีน
ใครต่างก็รู้ดีว่า “พี่จีน” ถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของประเทศไทย หากถูกคว่ำบาตรจริง ก็ส่งผลต่อการส่งออกสินค้าไทยไปจีน แบบ “ประเมินค่าไม่ได้”
งานนี้ “อธิบดีกรมปศุสัตว์” หนีความรับผิดชอบไม่พ้น จำเป็นต้องมี “แอคชั่น” อะไรออกมาบ้าง แต่จากที่ผ่านมาก็พอสรุปได้ว่า อธิบดีฯ หวังเล่นบท “ลอยตัว” ให้เรื่องเงียบไปเอง
เมื่อ “อธิบดี” ไม่ขยับ ก็อาจจะต้องรบกวนลูกพี่อย่าง “ปลัดกระทรวง” พิจารณาให้มีการตรวจสอบว่า มีข้าราชการใต้บังคับบัญชามีส่วนรู้เห็นหรือไม่ รวมทั้งต้องโยกย้ายผู้ที่อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องออกจากไปหน่วยงานที่รับผิดชอบเสียก่อน เพราะขณะนี้มีกระแสข่าวว่าเริ่มมีการใช้ “อิทธิพล” กดดันกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงในรูปแบบต่างๆ
คู่ขนานไปกับทางตำรวจชุด “ผกก.โจ” ที่ต้องสืบสวนขยายพลให้ไปถึง “ตัวการใหญ่” ด้วย
หรือหากหน่วยงานต่างๆยังไม่ขยับ ก็คงต้องถึงมือ “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่วันนี้ยังมีอำนาจเต็มมือ สั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำการตรวจสอบ และถอนรากถอนโคนขบวการนี้ให้สิ้นซาก
ก็ไม่แน่ใจว่า ถึงวันนี้ “ว่าที่อดีตนายกฯ” ยังมีกระจิตกระใจสั่งการหรือไม่ หรือจะรอให้รัฐบาลใหม่มาจัดการแทน
แต่หากปล่อยเนิ่นนานออกมา ก็จะยิ่งสร้างความเสียหายมากขึ้น ทั้งการพบการกระทำผิดซึ่งหน้า และอาจจะลุกลามไปถึงประเทศคู่ค้า อีกด้วย
เมื่ออำนาจยังอยู่กับ “บิ๊กตู่” ในฐานะนายกฯ ก็ไม่ควรรังเกียจรังงอนที่จะใช้อำนาจในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติบ้านเมือง
และก็ต้องถามว่า “บิ๊กตู่” อยากให้ “คนไทย” โดยเฉพาะ “ผู้เลี้ยงไก่” จดจำในแบบไหน.