ข่าวปนคน คนปนข่าว
**มีเงือนงำ? เหตุผล“เสี่ยวินิจ” บรรยากาศไม่เป็นใจ! ยกเลิกจัดศึกซูเปอร์แมตช์ แฟน “เมสซี่- เอ็มบัปเป- เนย์มาร์” รอไปก่อน
“เสี่ยวินิจ” วินิจ เลิศรัตนชัย บอสใหญ่ บริษัท เฟรชแอร์ เฟสติวัล ผู้เคยสร้างความเกรียวกราว จัดศึก “แดงเดือด” ระหว่าง“ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปะทะ “หงส์เดง” ลิเวอร์พูล ที่เมืองไทยเมื่อปีที่แล้ว มาถึงปีนี้ออกข่าวไว้ว่าจะจัดโปรเจกต์ยักษ์ ให้แฟนฟุตบอลได้ฮือฮากันอีกครั้ง ในศึก "เฟรนช์ ซูเปอร์คัพ 2023” ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ 5 ส.ค.นี้
“เฟรนช์ ซูเปอร์คัพ” ที่ว่านี้คาดว่าจะมี “ซุปตาร์” นักฟุตบอลระดับโลกในยุคนี้เดินทางมาด้วย เช่น “เมสซี่” ลิโอเนล เมสซี , คิลิยัน เอ็มบัปเป และ เนย์มาร์ ทำให้หลายๆ คนตั้งหน้าตั้งตารอด้วยใจระทึก อยากจะดูตัวเป็น ๆของบรรดาซูเปอร์สตาร์ยอดขวัญใจ
เรียกว่า เป็นโปรแกรมทองฝังเพชร ที่พร้อมจะดึงดูดให้แฟนๆ ทำราชมังคลากีฬาสถานแตกแน่ แต่ไม่กี่วันก่อน “เลกิป” สื่อดังจากฝรั่งเศส ออกมารายงานว่า คนไทย อาจพลาดชมฝีเท้าและเพลงเตะของทีมดังฝรั่งเศสเสียแล้ว เมือมีข่าวแว่วว่า บริษัท เฟรชแอร์ฯ ผู้จัดอีเวนต์ของไทย เปลี่ยนใจด้วยสาเหตุที่คลุมเครือ
ฟังว่าล่าสุด “เสี่ยวินิจ” ยืนยันกับ “บี บางปะกง” คอลัมนิสต์ฟุตบอลไทยว่า ได้ตัดสินใจยกเลิกการเป็นเจ้าภาพจัดศึก "เฟรนช์ ซูเปอร์คัพ 2023” ที่เดิมกำหนดจะมาดวลแข้งที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน พร้อมกับขออภัยและแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรกับทางผู้จัดของฝรั่งเศสไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุผลทางเทคนิคบางประการ รวมทั้งปัญหาเรื่องการตลาดด้วย
อย่างไรก็ดี “เสี่ยวินิจ” บอกว่า โปรเจกต์ “เดอะแมตช์ 3” จะต้องมีขึ้นอีกครั้งแน่ แต่อาจต้องรอถึงปีหน้า 2567 ซึ่งมีข้อเสนอเข้ามาจากสโมสรระดับบิ๊กของโลกหลายทีมสนใจที่อยากจะเข้ามาโชว์ฝีเท้าในเมืองไทย ซึ่งกำลังพิจารณาอยู่ แต่แมตช์ใหญ่ปีนี้ คงต้องงดไปก่อน ด้วยบรรยากาศต่างๆ ยังไม่ค่อยเหมาะสมกับการจัดอีเวนต์ใหญ่มากนัก
เป็นอันว่าคอบอล อดยลโฉมและจะได้สัมผัสใกล้ชิดกับสตาร์นักเตะตัวท็อปของโลกอย่าง “เมสซี่” “เอ็มบัปเป” และ “เนย์มาร์ “แน่แล้ว ซึ่งเหตุผลที่ว่า “บรรยากาศไม่เป็นใจ” ของ เสี่ยวินิจ ก็ไม่รู้หมายถึงอะไร เจ้าตัวไม่ได้บอกให้ชัดๆ เสียด้วย ว่าคือ บรรยากาศ-อากาศร้อน บรรยากาศ –ฝุ่นละออง PM2.5 หรือจะเป็น บรรยากาศการเมือง ?
งานนี้ ทิ้งปริศนาไว้ให้คิดอีกแล้ว...มีเงื่อนงำอะไรอ๊ะป่าว?
**อ้าวเฮ้ยพิธา!! ไม่เหมือนที่พูดหาเสียงไว้นี่ บอกค่าแรงขึ้นทันที 450 บาท ตอนนี้มาอ้างเป็นรัฐบาลผสมซะนี่
“เอ็มโอยู” ที่พรรคก้าวไกล แกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยกร่างมาให้พรรคร่วมลงนาม ลดเงื่อนไขลงไปเยอะตามที่พรรคร่วมได้ทิ้งโน้ตมาให้ เรียกว่า“ก้าวไกล”ไม่ก้าวไปข้างหน้า แต่ยอมถอยสุดซอยก็ว่าได้ คือไม่บรรจุ เรื่องการแก้ไข ม.112 การออก กม.นิรโทษกรรม เรื่องสุราก้าวหน้า สมรสเท่าเทียม เพื่อลดแรงเสียดทาน ที่จะมาขัดขวางการเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของ “พ่อส้ม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
เรียกได้ว่า เป็นการยอมสละอุดมการณ์ เพื่อแลกกับการได้เป็นนายกรัฐมนตรี กุมอำนาจบริหาร แม้จะเสี่ยงกับการทำลายตัวเองก็ต้องยอม ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายจะฝ่าด่านไปถึงเก้าอี้นายกฯหรือไม่ก็ตาม
“พิธา” บอกว่า MOU ในการจัดตั้งรัฐบาล ของทั้ง 8 พรรค ที่ลงนามกันเมื่อ 22 พ.ค.นั้น เป็นแค่ “วาระร่วมกันขั้นต่ำ”เท่านั้น พรรคก้าวไกลยังมีอีก กว่า 300 นโยบาย ที่ได้หาเสียงไว้ ซึ่งทางพรรคจะพยายามผลักดันให้สำเร็จเมื่อตนเองขึ้นเป็นนายกฯ ...กระทรวงไหนที่มีรัฐมนตรี เป็นคนของพรรคก้าวไกล ก็จะเร่งผลักดันเต็มที่ แม้ไม่ได้เป็นเจ้ากระทรวง ก็จะประสานงานกับพรรคร่วมให้ช่วยผลักดัน
ล่าสุด “ว่าที่นายกฯพิธา” ได้ไปประชุมร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งมีประเด็นที่หารือกันหลายเรื่อง เช่น เรื่องของขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ การสนับสนุน SME การหาแรงงานให้ตรงกับความต้องการของต่างประเทศ การเพิ่มประสิทธิภาพของค่าแรง และที่เป็นไฮไลต์ของการพูดคุย คือเรื่องนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาท ที่พรรคก้าวไกลประกาศไว้ว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะขึ้นทันที
เรื่องนี้ภาคธุรกิจกังวลกันมาก ขนาดพรรคก้าวไกล ยังเป็นแค่แกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยังไม่รู้จะได้เป็นรัฐบาลหรือเปล่า ก็มีข่าวโรงงานที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เลิกจ้างคนงานรวดเดียว 400 คน เพราะภาพรวมของธุรกิจที่ทำอยู่ ก็กำลังย่ำแย่อยู่แล้ว ขืนไปรอเลิกจ้างตอนมีรัฐบาลใหม่ ก็ต้องจ่ายชดเชยตามค่าแรงขั้นต่ำมากขึ้นไปอีก เลยชิงเลิกจ้างเสียตอนนี้เลย...และเชื่อว่ามีบริษัทอีกไม่น้อยที่กำลังคิดแบบเดียวกัน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาคอุตสาหกรรม และการจ้างงาน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็เป็นห่วงเรื่องนี้ และต้องการคำตอบที่ชัดเจน ซึ่ง “ว่าที่นายกฯพิธา” ก็ชี้แจงว่า ในเรื่องกรอบตัวเลขนั้น พรรคก้าวไกล ยังคงไว้ที่ 450 บาท แต่บทสรุปจะเป็นเท่าไรนั้น ต้องหารือกับพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งมีกรอบตัวเลขที่ต่างกัน รวมถึงหารือ สภาแรงงาน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ยืนยันว่าจะไม่ปรับขึ้นแบบกระชากระบบ แต่ขึ้นตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ ประสิทธิภาพของแรงงาน ...คือจะยังใช้กลไกคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคี ในการพิจารณา
"ถ้าเป็นรัฐบาลก้าวไกลพรรคเดียว ก็ต้องขึ้น 450 บาท แต่พรรคเพื่อไทยเสนอไว้ 600 บาท ภายใน 4 ปี เมื่อเราเป็นรัฐบาลผสม ก็ต้องมีการพูดคุยกัน"
ได้ฟังเช่นนี้ ทางสภาอุตสาหกรรมที่ กังวลกับนโยบายการขึ้นค่าแรง ก็บอกว่าเบาใจลงได้ เพราะ“พิธา” เองก็เป็นผู้ประกอบการคนหนึ่ง เคยเป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรมฯ ย่อมเข้าใจหัวอกของผู้ประกอบการเป็นอย่างดี
เป็นอันว่า ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เรื่องขึ้นค่าแรง 450 บาททันทีนั้น ยังไม่ใช่นะจ๊ะ ...เจ้าของกิจการเบาใจได้ ส่วนแรงงานที่หวังจะได้ค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาททันที ก็ยังต้อง “ดวดเหล้าขาว เด้าหน้าฮ้าน” รอไปก่อน จะขึ้นเท่าไร ยังต้องเข้าไตรภาคี เหมือนเดิม
นี่ยกตัวอย่างแค่นโยบายค่าแรงขั้นต่ำเพียงเรื่องเดียว “ว่าที่นายกฯพิธา” ก็ออกลีลาพลิ้วเสียแล้ว ดังนั้นบรรดา “ด้อมส้ม” ที่เห็นผลการเลือกตั้งแล้วบอกว่า “หอมกลิ่นความเจริญ” เคลิ้มหวังไปกับอีกเป็นสิบ เป็นร้อย นโยบายที่ถูกจริต ก็ต้องเผื่อใจไว้แต่เนิ่นๆ ว่าสุดท้ายแล้วอาจเป็นแค่ลมปากในช่วงหาเสียง