“อดีตรองอธิการ มธ.” ชี้ เลือกตั้ง “14 พ.ค.” สำคัญถึงขั้นกำหนดอนาคตประเทศ เพราะอาจมีการแทรกแซงจากต่างประเทศ เลือกผิดอาจหมายถึง “ความอยู่รอดของชาติ” “อดีตบิ๊ก ศรภ.” ชำแหละ นโยบายบางพรรค ออกมาเพื่อพวกเดียวกัน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (8 พ.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr ของ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“การตัดสินใจกาบัตรเลือกตั้งในคูหาในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคมนี้ จะเป็นการตัดสินใจที่จะกำหนดอนาคตประเทศไทยอย่างสำคัญ สำคัญถึงขนาดที่ว่า หากเลือกผิดอาจหมายถึงความอยู่รอดของชาติเลยทีเดียว
เป็นที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่า พรรคการเมืองบางพรรค แสดงความเห็นเป็นที่ประจักษ์ทั่วไป ว่า ประเทศไทยกำลังเอนเอียงไปทางจีนมากเกินไปจนเสียความสมดุล ดังนั้น จึงควรหันมาทางประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาให้มากขึ้น
พรรคการเมืองพรรคนี้ สนับสนุนให้ไต้หวันเป็นอิสระจากจีน ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐอเมริกาต้องการ แต่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับจีน เนื่องจากจีนยึดมั่นในนโยบายจีนเดียว และจะขัดขวางทุกวิถีทาง หากไต้หวันหรือประเทศใดจะสนับสนุนให้ไต้หวันแยกตัวออกจากจีน ซึ่งความจริงในทางปฏิบัติ ไต้หวันก็เป็นเสมือนรัฐอิสระอยู่แล้ว และก็มีการค้าขายแลกเปลี่ยนกับจีนเป็นปกติ และจีนก็ไม่ได้ห้ามประชาชนของทั้งสองแห่งเดินทางเข้าออก ไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน เพียงแต่ไต้หวันจะเป็นอีกจีนหนึ่งไม่ได้เท่านั้น
พรรคการเมืองพรรคนี้ ดูเหมือนจะแสดงความเห็นเกี่ยวกับการต่างประเทศไปในทิศทางเดียวกันกับสหรัฐอเมริกา เช่น ประณามรัฐบาลอิหร่าน เชียร์ผู้ประท้วง จนสถานทูตอิหร่านต้องออกมาตอบโต้ ประณามรัฐบาลพม่า ประณามรัสเซีย กรณีสงครามยูเครน โดยไม่สนใจต้นเหตุและรากเหง้าของปัญหาระหว่างรัสเซียและยูเครน ทีมีมาร่วม 10 ปี คืออะไร และจะทักท้วงโจมตีรัฐบาลไทย หากทำสิ่งใดที่ไม่เป็นไปตามความประสงค์ของชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐอเมริกา
เมื่อมีม็อบเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 พรรคการเมืองพรรคนี้ และองค์กรเอกชนที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก NED หรือ National Endowment for Democracy และสำนักข่าวบางสำนัก ทั้งต่างประเทศและในประเทศ ก็จะออกมาสนับสนุนสอดรับกัน พร้อมทั้งประณาม คัดค้านการดำเนินคดีต่อผู้ที่กระทำผิดตามมาตรา 112 ซึ่งสิ่งที่ผู้ประท้วงกระทำ มีทุกรูปแบบ ทั้งจาบจ้วง หยาบคาย เยาะเย้ยถากถาง กล่าวหาผิดๆ เผาพระบรมฉายาลักษณ์ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นการกระทำเหล่านี้แล้วล้วนรับไม่ได้ แต่พรรคการเมืองพรรคนี้กลับรับได้ และอ้างว่า เป็น “ความจริงที่น่ากระอักกระอ่วน”
พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนสอดคล้องกับการทำสงครามรูปแบบใหม่ของชาติตะวันตก เป็นสงครามที่สามารถยึดประเทศเป้าหมายได้โดยไม่ต้องใช้ปืน แต่ใช้อาวุธที่แนบเนียนและน่ากลัวยิ่งกว่า อาวุธชนิดนี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” อาวุธที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ทำงานอย่างไร อยากให้ฟังจาก พลเรือเอก ชาตร์ นาวาวิจิต อดีตเจ้ากรมยุทธการกองทัพเรือ อดีตผู้บัญชาการสถาบันวิชาการทหารเรือชั้นสูง และเป็นผู้บรรยายในวิชา ยุทธศาสตร์ให้กับ วปอ และวิทยาลัยการทัพเรือ และอื่นๆ ขณะนี้ พลเรือเอก ชาตร์ กำลังป่วย แต่ด้วยความเป็นห่วงชาติบ้านเมือง จึงลุกขึ้นมาทำคลิป ซึ่งสามารถรับชมได้ นี่เป็นเพียงคลิปแรก คลิปต่อๆ มาจะมีตามอีกนะครับ”
ขณะเดียวกัน พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
“นโยบายของพรรคการเมือง ไม่ใช่ เมนูร้านขายของชำนะครับ 1. นโยบายพรรคก้าวไกลที่ออกมานั้น เหมือนเด็กๆ ประชุมกันเล่นขายของ เพื่อให้สะใจพวกเดียวกันเท่านั้น ไม่มีทางจะทำจริงได้ 200% มั่วมากๆ สมมติว่า ทำลงไปจริงๆ ก็คงสนุกแน่ครับ คราวนี้จะไม่มีการชุมนุมขับไล่อะไรกันอีก การทำรัฐประหารก็ไม่มี แต่เชื่อเถอะครับ ว่า จะมีการฆ่ากันจริงๆ มาแทนแน่นอน เพราะปูเรื่องมาเหมือนเหตุการณ์ตอนเริ่มต้นของ กรณีอาหรับสปริงค์ อียิปต์ และ ซีเรีย เลยครับ
2. ถ้าสมมติว่า นโยบายแบบนี้นำมาใช้ในไทยจริง ก็ยากที่ประเทศในอาเซียนทุกประเทศจะยอมรับได้ และคงพยายามไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในประเทศตนอย่างเด็ดขาด และหากเรื่องนี้เกิดขึ้นในไทยจริง ประเทศต่างๆก็จะเข้ามาแทรกแซง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบไปถึงประเทศของเขาด้วย อย่างแน่นอน (ไอ้ที่หายๆ ไปนะไม่ใช่คนไทยทำนะครับ รู้ไว้ด้วย
3. นโยบายหาเสียงนั้น เมื่อออกมาแล้ว (1) ต้องทำได้จริง (2) อย่าโกหกประชาชนเป็นระยะๆ เพื่อประวิงเวลา เมื่อไม่สามารถทำตามนโยบายนั้นได้ หรือ เรื่องไหนทำไม่ได้ แต่ดันพลาดไปแล้ว ก็หาเหตุผลมากลับคำพูดใหม่ และที่สำคัญ (3) นโยบายต้องเป็นประโยชน์แก่ประชาชน แต่ที่แถลงออกมา กลับไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนเลย ตรงกันข้าม เกี่ยวข้องกับปัญหาของพวกเดียวกันทั้งนั้น ราวกับว่า เป็นการออกนโยบายปลอบใจพวกเดียวกันเอง
4. กลับมาทบทวนดูเรื่องเก่าๆที่เกิดขึ้นมาแล้ว ในอดีตก็ได้ ครับ ว่านโยบายเหล่านี้ออกมาเพื่อใคร เช่น นิรโทษกรรมคดีการเมือง ปฎิรูปกฏหมายเกี่ยวกับที่ดินทั้งหมด 8 ฉบับ เช่น พรบ.ป่าสงวน และ พรบ.อุทยานแห่งชาติ เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมี การปฏิรูป พ.ร.บ. เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ อีก 8 ฉบับ เรื่องนี้จะเปิดช่อง ให้ ประชาชน ออกมาเผชิญหน้ากันเองอย่างแน่นอน จบกันประเทศไทย
กกต. เองควรวางมาตรฐานในช่วงหาเสียงให้ทันต่อเหตุการณ์ และศึกษาข้อมูลให้ชัดเจน รวดเร็ว อย่างมืออาชีพ (ละเว้นอาการงงๆ) เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องบานปลายต่อไปหลังการเลือกตั้ง ซึ่งมีหลายเรื่องมากครับ”