“ตู่-จตุพร” จัดหนัก ชำแหละเกมตบตา นัดถาม-ตอบเอาตัวรอด หนีกระทบคะแนนเสียง “วิรัช” นำร่อง “ทักษิณ” รีบแจงรับลูก เริ่มต้นก็โกหก บอกไม่มีอำนาจในเพื่อไทย อ้างไม่โง่พอยกเก้าอี้นายกฯ ให้ “บิ๊กป้อม” แต่ใครเคยโง่มอบตำแหน่ง ผบ.ทบ.ให้ ย้ำ ทักษิณเป็นคนให้กำเนิด 3ป. สวน “ภูมิธรรม” ไม่น่าเชื่อถือ จุดยืนแกว่ง แถลงนิรโทษกรรมสุดซอย 3 ครั้ง ไม่เหมือนเดิม ช็อกเลือก “ชัยเกษม” แคนดิเดตนายกฯ คนที่ 3 เพราะทางด่วนพิเศษหายไป เพราะไม่อยากมาร่วมชะตากรรม จึงต้องกลับมาใช้ทางปกติ
เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ “ประเทศไทยต้องมาก่อน” ผ่านแฟนเพจ “ประเทศไทยต้องมาก่อน” และ PEACE TV ตอน “จัดเต็ม!!” โดยจัดหนักกับเกมตลาดการเมือง ปั่นถาม-ตอบตบตา แจงเพื่อไทยไม่จับมือพลังประชารัฐ (พปชร.) หวังตรึงคะแนนเสียงไม่ให้ไหลเทไปสู่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กับ ก้าวไกล เพราะกลัวความฉิบหายจากเสียงลงโทษของประชาชน ที่มีพลังต่อต้านเผด็จการยึดอำนาจ
นายจตุพร สงสัยว่า แรกๆ พรรคเพื่อไทย ทำไมใส่ใจกับคำถามจะจับมือกับ พปชร.หรือไม่? เอาแต่อ้ำอึ้งบิดเบือนตอบไปทางอื่น ไม่ตรงคำถาม เมื่อสถานการณ์การเมืองบีบรัดมากขึ้น ความไม่ชัดเจนของเพื่อไทย และ พปชร. ยิ่งทำให้เสียงของ รทสช.และก้าวไกลมาแรงไล่จ่อหายใจรดต้นคอแรงขึ้นทุกขณะ จึงทำให้แกนนำเพื่อไทยต้องรีบประกาศไม่จับมือ พปชร.
“การพูดของ วิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้า พปชร. กรณีจับมือกับเพื่อไทย ไม่ใช่ความบังเอิญ และการตอบชี้แจงของทักษิณ ชินวัตร ยิ่งเป็นความตั้งใจพูดมากกว่าอีก เพราะทั้งวิรัชและทักษิณ ย่อมรู้ถึงหายนะของคะแนนเสียงที่ไหลทวนไปสู่ก้าวไกล กับ รทสช.ที่มากขึ้นไปทุกขณะ”
อีกทั้ง ลำดับสถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรม ว่า เมื่อ วิรัช ไปเปิดตัวพูดในรายการสื่อสำนักหนึ่ง ตามด้วยให้สัมภาษณ์ย้ำๆ อีก โดยพูดว่า เพื่อไทยจะยกมือให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกฯ ถ้าไม่จริงให้ทักษิณชี้แจงมา แล้วทักษิณก็ตอบจริงๆ นั่นอาจต้องการให้ประชาชนที่รักและผูกพันได้ปักใจเชื่อกัน
นายจตุพร แจกแจงคำตอบ 3 ข้อของทักษิณ ระบุถึงวิรัชเรื่องยกตำแหน่งให้ พล.อ.ประวิตร หรือ “บิ๊กป้อม” ว่า ข้อหนึ่งไม่มีอำนาจในพรรคเพื่อไทย ซึ่งเริ่มต้นทักษิณก็โกหกทันที เพราะถ้าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยมีอำนาจจริงแล้ว คนต้องเห่ไปหา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ที่จังหวัดน่าน แล้วจะบินไปที่สิงคโปร์ ดูไบ ฮ่องกง เกาหลี เพื่อหาทักษิณทำไม?
“ถามจริงๆ ข้อแรกที่บอกว่า ไม่มีอำนาจในพรรคเพื่อไทยนั้น ทักษิณเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดหรือไม่ แค่เริ่มต้นพูดก็เป็นเท็จๆ เลย”
ส่วนข้อสอง ทักษิณ ตอบว่า ไม่ได้สื่อสารกับวิรัชนานแล้ว และไม่เคยคุยกับ พล.อ.ประวิตร มา 17 ปีนั้น นายจตุพร เห็นว่า นายวิรัช เป็น ส.ส.เพื่อไทย จนถึงปี 2557 แม้ไม่ได้เป็นรัฐมนตรี แต่ได้รับความไว้วางใจ มีความสนิทกับ “เจ๊” อย่างรุนแรง กระทั่งทำโครงการจนถูกคดีในศาลแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่ นายวิรัช เท่านั้น ส.ส.เพื่อไทย หลายคนถูกคดีพัวพันด้วย จนต้องตัดสินใจไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งต่อ แล้วส่งมรดกให้ลูกลงสมัครแทนในแต่ละจังหวัด ซึ่งเกิดจากเหตุคดีเดียวกับนายวิรัชในโครงการสนามฟุตซอลในหลายจังหวัด ดังนั้น คำพูดของนายวิรัชจงใจให้นายทักษิณตอบ ถ้าไม่ตอบกำลังฉิบหายทางการเมืองกันทั้งคู่
“วิรัชไม่ได้สื่อสารกับทักษิณมานานเท่าไรไม่รู้ แต่เมื่อวิรัชจงใจถามมา ทักษิณจึงรีบตอบไป อย่างพล็อตเรื่องกันเอาไว้เลย ดังนั้น จึงเป็นความสัมพันธ์ที่บังเอิญไป เพราะอยู่ดีๆ วิรัชก็โพล่งมาเลย ซึ่งไม่เป็นเรื่องต้องโพล่งเลย สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องตั้งใจและออกแบบไว้แล้ว จึงยิ้มย่องออกทางสีหน้า”
ส่วนกรณี พล.อ.ประวิตร ที่ทักษิณอ้างไม่ได้คุยมา 17 ปีแล้ว นายจตุพร กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่า ทักษิณ กับ พล.อ.ประวิตร คุยกับครั้งสุดท้ายเมื่อ่ไร แต่ต้องยอมรับความจริงกันอย่างหนึ่งว่า ก่อนการยึดอำนาจปี 2557 ใครไปหาทักษิณ และที่ตัดคนชุมนุมร่วม 3 หมื่นต่อวัน เหลือไม่กี่ร้อยคน จนทำให้กำลังต่อรองที่ถนนอักษะหมดไป เท่ากับสมคบคิดกับเผด็จการ โดยนำประชาธิปไตยไปแลกเพื่อให้ได้กลับบ้าน
“วันนั้น 21-22 พ.ค. 2557 ใครถูกส่งไปพบท่าน (ทักษิณ) คนๆ นั้นเป็นอะไรกับบิ๊กป้อม เป็นดีเอ็นเอเดียวกันหรือไม่ ดังนั้น การอธิบายอย่างไรก็ตาม ดูเสมือนหนึ่งว่า ไม่ได้คุยกันมาแล้ว 17 ปี แต่หลังการยึดอำนาจ การจัดการความสัมพันธ์ระหว่างบิ๊กป้อม ไม่ว่าในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานต่างๆ กระทั่งที่ทำงานตำแหน่ง รมว.กลาโหม และรองนายกฯ ขอให้ทั้งบิ๊กป้อมและทักษิณช่วยตอบมาว่า ไม่มีคนทั้งสองฝ่ายนี้ไปมาหาสู่กัน ในทางการเมืองท่านโกหกใครก็ได้ แต่โกหกผมยาก” นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร ยังกล่าวถึงกรณีนายทักษิณตอบนายวิรัชในข้อ 3 ว่า มั่นใจพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.เกินกึ่งหนึ่ง และเชื่อว่า ไม่โง่พอจะยกตำแหน่งนายกฯ ให้บิ๊กป้อมนั้น ตนขอถามว่า ใครเคยโง่ที่ยกตำแหน่ง ผบ.ทบ.ให้กับบิ๊กป้อม จนมาสร้างบูรพาพยัคฆ์ได้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาสืบอำนาจนาน 9 ปี ก็เพราะทักษิณเคยโง่มาก่อนและโง่ซ้ำซาก
นายจตุพร ทบทวนอีกครั้งว่า สมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ควบ ผบ.ทบ.กับ ผบ.ทสส. นำกำลังกองทัพภาค 3 รุกเข้าไปปราบแหล่งผลิตยาบ้าตายระเนระนาดหลายร้อยคน เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้คนเป็นนายกฯ ต้องปกป้อง แต่สิ่งที่นายกฯ ทำคือปลด พล.อ.สุรยุทธ์ ออกจาก ผบ.ทบ. แล้วเอา พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร มาเป็น ท้ายที่สุด นายกฯ ไม่พอใจอีก ก็ปลดออก ผบ.ทบ. แล้วตั้ง พล.อ.ประวิตร ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ ย้ายเข้ากรุเป็นทีเรียบร้อยแล้ว
“ความจริงบูรพาพยัคฆ์ 3 ป.จะเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้น คนที่ให้กำเนิด 3 ป.คือ ทักษิณ ก็ท่านบอกเองว่า ไม่โง่พอที่จะยกให้ป้อม วันนั้นเรียกว่าความโง่หรือความฉลาด แต่การตั้งบิ๊กป้อมในวันนั้น ทำให้เขาเป็นคนมีฤทธิ์เดช จนสร้างความแข็งแรงต่อเนื่องกันมา”
นายจตุพร ยังระบุว่า สายสัมพันธ์ต่างๆ ในปี 2553 ซึ่งช่วงนั้นบิ๊กป้อม เป็น รมว.กลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เป็น ผบ.ทบ. และ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรอง ผบ.ทบ. หลังจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ชัยชนะเลือกตั้งปี 2554 ทักษิณ มาใช้บริการ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วผลักใสคนเสื้อแดงออกไปอยู่นอกวงอำนาจ แล้วยังเปลี่ยนเส้นทางจัดสายสัมพันธ์กันใหม่ จัดคนเสื้อแดงไปพบทักษิณที่ดูไบนับครั้งไม่ได้ ดังนั้น เมื่อได้เสพสุขจึงคอยส่งไลน์รายงานทักษิณ เมื่อให้มาต่อสู้ก็ไม่ได้แล้ว คนพวกนี้เริ่มถือสิ่งของที่ทักษิณพาไปชอปปิ้ง การชุมนุมจึงหาคนมาต่อสู้ยาก เพราะขบวนการต่อสู้ถูกย่อยสลายอย่างพินาศย่อยยับจากระบบการเมือง จนนำไปสู่เรื่องนิรโทษกรรมสุดซอย
“ท้ายที่สุด ก่อนการยึดอำนาจปี 2557 เมื่อไม่มีอะไรไปต่อรองกับกลุ่มอำนาจแล้ว ก็เอาของชิ้นสุดท้ายที่เป็นมรดก คือ การต่อสู้ของประชาชนที่ถนนอักษะต้องนำมาเทขายให้กับการต่อรองเมื่อ 21-22 พ.ค. 2557”
นายจตุพร กล่าวว่า คำว่า ไม่โง่พอที่จะยกตำแหน่งนายกฯ ให้บิ๊กป้อม ทั้งที่ความจริงต้องตอบมาตั้งแต่ต้น ว่าไม่มีวันจะจับมือกับคนที่รัฐประหารตัวเอง และไม่จับมือกับคนที่อยู่ในขบวนการสืบทอดอำนาจ เพราะเราเป็นพรรคประชาธิปไตย แม้พฤติกรรมจะเป็นตรงกันข้ามก็ตาม
พร้อมย้ำว่า ช่วงนิรโทษกรรมสุดซอยก็เอาชีวิตคนเสื้อแดงไปแลก แล้ว 21-22 พ.ค. 2557 เอาประชาธิปไตยไปแลก การออกมาครั้งนี้เท่ากับมัดตัวเอง และที่เราพูดกันมาไม่ได้สูญเปล่า เพราะวันนี้ พปชร.และเพื่อไทย ก็จะพากันฉิบหายไปด้วย ดังนั้น วิรัช ไม่พูดไม่ได้ ทักษิณ จึงต้องเข้ามาตอบ แล้วยังโกหกตั้งแต่ข้อที่หนึ่งแล้วว่า เป็นคนไม่มีอำนาจในพรรคเพื่อไทย
ส่วน นายภูมิธรรม เวชยชัย นั้น นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อครั้งนิรโทษกรรมสุดซอย ภูมิธรรม เป็นเลขาธิการพรรคเพื่อไทย มาแถลงในนามพรรคว่า นิรโทษกรรมให้เฉพาะประชาชนทุกฝ่าย ขอให้เชื่อมั่นได้ แล้วยังมาแถลงถึงความจำเป็นกับการกลายเป็นเรื่องสุดซอย พอพังพินาศ ตนก็บอกว่า เดี๋ยวต้องแถลงครั้งที่สาม เพื่อถอยการนิรโทษกรรมสุดซอยอย่างชัดเจน
“คนๆ เดียว ในต่างกรรมต่างวาระ ในนามเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในเรื่องเรื่องเดียวกันยังแถลงไม่เหมือนกันถึง 3 ครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะเห็นสัญญาณ จึงพูดถึงฝันกลางวันและประกาศไม่จับมืออะไรกัน แต่ยังมีปลายเปิดอยู่ ส่วนเราเป็นประชาชนจึงมีหน้าที่ให้ปลายปิด”
นายจตุพร กล่าวว่า อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ว่า ไม่ให้ตำแหน่งนายกฯ กับ พล.อ.ประวิตร แล้ว หากร่วมมือกันจะเป็นเรื่องอธิบายกับประชาชนได้ เมื่อบอกไม่จับมือกันแล้ว ไม่เป็นฝันกลางวัน และทักษิณย้ำไม่โง่พอ ดังนั้น การพูดทั้งหมดกับเรื่อง พปชร.และ พล.อ.ประวิตร จึงไม่สูญเปล่า ดังนั้น เรื่องนี้จะดีลกันยากยิ่งขึ้น และในวันข้างหน้าก็ยากตามลำดับ
นายจตุพร กล่าวถึงแคนดิเดตนายกฯ คนที่สามของเพื่อไทย คือ นายชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านการตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมและอำนาจรัฐ พรรคเพื่อไทย ว่า เดิมตั้งใจจะประกาศในวันที่ 5 เม.ย. นี้ แต่รีบประกาศก่อน จึงสะท้อนได้ชัดว่า ทางด่วนพิเศษได้สูญหายไปแล้ว จึงต้องกลับมาใช้ถนนปกติ เพราะทุกคนต่างลุ้นกันว่า แคนดิเดตคนที่สามจะช็อกแน่ แต่เป็นชัยเกษม ช็อกหรือไม่? เนื่องจากหาใครไม่ได้ เพราะใครคนที่เคยว่านั้น เขาไม่กล้า เขาเห็นชะตากรรม
อีกทั้งระบุว่า นายชัยเกษม เมื่อเป็นอัยการสูงสุด ก็ทำหน้าที่เป็นอีกฝ่ายชัดเจนกับนายทักษิณ วันที่พวกตนไปถวายฎีกาของอภัยโทษให้นายทักษิณ ที่สนามหลวง แล้วจะเดินไปที่วัดพระแก้ว ยังไม่ทันเดินไปเลย นายชัยเกษม ก็สั่งฟ้องในคดีบ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยอัยการชั้นต้นสั่งไม่ฟ้อง แต่เป็นอำนาจของอัยการสูงสุด ซึ่งนายชัยเกษม ก็เลือกสั่งฟ้องในวันนั้นเลย
จากนั้น ไม่มีใครคาดคิดว่า นายชัยเกษม จะมาทางพรรคการเมือง เมื่อเกิดการชุมนุมปี 2553 บรรดาแกนนำถูกดำเนินคดีก่อการร้าย มีนายทักษิณ เป็นจำเลยที่หนึ่ง ตนจำเลยที่สาม อย่างไรก็ตาม คดีก่อการร้ายมีผลเดินทางเข้าสหรัฐฯ และบางประเทศไม่ได้ อยู่ดีๆ ชื่อจำเลยทักษิณก็หลุดไป เพราะอัยการสั่งไม่ฟ้อง แต่ลูกน้องยังโดนคดีก่อการร้ายตามเดิม และตนยังถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นจำเลยที่สอง
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อได้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่นายชัยเกษม มานั่งเป็น รมต.ยุติธรรม ซึ่งตนไม่เชื่อจะเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน และเป็นเรื่องเดียวของนายทักษิณที่อ้างว่าไม่มีอำนาจในพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม ในหลายเรื่องราว ที่เกี่ยวพันกับทักษิณ-เพื่อไทย ก็กลายเป็นทุกข์ลาภ ทั้ง นายสมัคร สุนทรเวช โดนทักษิณหัก และเมื่อตายไปยังถูกยึดทรัพย์ในมรดกด้วย และอีกหลายคนที่ได้รับชะตากรรม แต่ชัยเกษมยังรอดอยู่ ขอให้โชคดีกับแคนดิเดตนายกฯ คนที่สาม
นายจตุพร ยังกล่าวถึงกรณีพรรคเพื่อไทยไม่ประกาศจับมือกับพรรคก้าวไกล หรือพรรคไทยสร้างไทย และ เสรีรวมไทย ว่า ถ้าประกาศจับมือกันแล้ว การตลาดการเมืองจะถูกโยงว่า เลือกก้าวไกล ไทยสร้างไทย และเสรีรวมไทย ก็ได้ ส.ส.มาช่วยเพื่อไทยเหมือนกัน ดังนั้น เขาจึงบอกว่า ถ้าขายพ่วงจะร่วงกันหมด
ดังนั้น การบอกว่า ถ้าได้ 310 เสียง จะมาจับมือกับฝ่ายค้านเดิมที่เป็นประชาธิปไตยด้วยกันนั้น แต่ถ้าเป็นจริงตามเป้าหมาย ย่อมไม่มีพรรคฝ่ายค้านเหลือให้จับแล้ว เพราะถูกเพื่อไทยกวาดเรียบ ดังนั้น จึงต้องพูดแบบตัดญาติขาดมิตรในฝ่ายเดียวกัน สิ่งนี้จึงแสดงถึงการตลาดการเมืองที่อำมหิตอย่างมาก
นายจตุพร กล่าวว่า ทุกสิ่งที่เพื่อไทยและทักษิณแสดง ล้วนเป็นการตลาดการเมืองทั้งสิ้น การพูดกลับบ้านมาติดคุก ก็เป็นการโฆษณาชวนเชื่อหวังปั่นกระแสคะแนนเสียงให้แลนด์สไลด์ เนื่องจากโพลของพรรคระบุได้ไม่ตามต้องการ 310 เสียง
อีกทั้งย้ำว่า เพื่อไทยจับมือกับ พปชร.นั้น หากไม่มีอะไรกันจริงต้องตอบมาตั้งแต่สองสามเดือนที่ผ่านมาแล้ว แต่ทำไมมาตอบเมื่อไม่กี่วันนี้เอง เพราะนายวิรัชและ พปชร. สุดอัดอั้นกับกระแสจับมือเพื่อไทยที่ฉุดคะแนนเสียงไปให้ รทสช.หมด ขณะที่เพื่อไทย ก็ถูกก้าวไกลดึงคะแนนเสียงเช่นกัน ดังนั้น ทั้ง พปชร.และเพื่อไทย กำลังเผชิญกับความฉิบหายในกระแสจับมือกันตั้งรัฐบาล
“วิรัช จึงออกแบบคำถามให้ทักษิณมาตอบชี้แจง พร้อมบอกปัดทิ้งคำตอบของหมอชลน่านว่า ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แล้วทักษิณ ก็มาตอบทันที ราวกับนัดรอการออกแบบคำถาม คำตอบกันอยู่แล้ว แต่ทักษิณเริ่มต้นตอบก็โกหก แล้วชี้แจงข้อสองและสามจึงเป็นตรรกะเท็จไป” นายจตุพร กล่าว