xs
xsm
sm
md
lg

“ลุงป้อม” ดีล “โทนี่” ข้ามขัดแย้ง-แต้มบวก!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ - ทักษิณ ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

ไม่แน่ใจว่าคำพูดยืนยันหนักแน่นของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่า “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ยินยอมให้ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งความหมายก็คือ เป็น “ดีล” ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับ พรรคพลังประชารัฐ หลังการเลือกตั้งนั่นเอง และการออกมาพูดแบบนี้ มีการปรึกษาหารือกับใครในพรรคแล้วหรือยัง แต่ที่ผ่านมา สำหรับ “ลุงป้อม” ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ยังไม่เคยตอบคำถามเรื่องนี้เลย แต่ก็ไม่ปฏิเสธออกมาก็แล้วกัน

นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงวงกินข้าวระหว่างแกนนำพรรคภูมิใจไทย กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่า ตนยืนยันมีการพูดว่า พล.อ.ประวิตร ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น วันนี้เห็นหรือไม่ว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยังบอกว่า ยอมได้ หาก พล.อ. ประวิตร จะเป็นนายกฯ เห็นหรือไม่ว่า สิ่งที่เราสื่อไปท่านก็สื่อกลับมา แล้วที่เขาบอกว่าไม่ยอมนั้น จะไม่ยอมได้อย่างไร เพราะเมื่อคราวที่แล้ว เอาไปให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมย้อนถามว่า ถูกหรือไม่ถูก และยังมีที่สมัยก่อนที่ให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เป็นนายกรัฐมนตรี

ส่วนกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย สอนมารยาทคนปล่อยภาพวงกินข้าวกับ พล.อ.ประวิตร ซึ่งถูกเชื่อมโยงการแข่งขันใน จ.นครราชสีมา ระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับ พลังประชารัฐ นายวิรัช กล่าวว่า ถ้าดูวันนี้ ตนก็ยืนยันว่า คู่แข่งของพลังประชารัฐ ที่ จ.นครราชสีมา ทั้ง 16 เขต มีเพียงแค่เพื่อไทย

จากคำพูดดังกล่าวของนายวิรัช ซึ่งนาทีนี้ถือว่ามีบทบาทสูงไม่น้อยในพรรค รวมไปถึงหากพิจารณาจากบทบาทดังกล่าว ทำให้มองได้ว่าการออกมาพูดยืนยันในลักษณะที่ว่า นายทักษิณ ชินวัตร ยอม “เปิดทาง” ให้ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับยกตัวอย่าง กรณีที่พรรคเพื่อไทย สนับสนุน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ช่วงที่เป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เป็นนายกฯมาแล้ว เมื่อครั้งแข่งขันกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อปี 62 หรือก่อนหน้านั้น ที่เคยสนับสนุน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จากพรรคอื่นมาแล้ว

แน่นอนว่า คำพูดแบบนี้ การพูดแบบนี้ของ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ทางหนึ่งความหมายก็เหมือนกับว่า เรื่อง “ดีลลับ” ระหว่าง นายทักษิณ กับ “ลุงป้อม” และพรรคพลังประชารัฐ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือว่าคำพูดดังกล่าวของนายวิรัช มีเจตนาบางอย่าง โดยเฉพาะการการันตีเรื่องพร้อมเป็นรัฐบาลได้ทุกขั้ว และย้ำให้เห็นนิยามว่า “นี่คือ การก้าวข้ามความขัดแย้ง” ในความหมายของพวกเขา ซึ่งหากมองอีกทางหนึ่ง มันก็คือ “ทำทุกทางเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล” นั่นเอง

คำถามก็คือ การออกมาพูดแบบนี้ของนายวิรัช มันมีผลในทางบวกหรือลบกับพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะในเรื่องคะแนนเสียงเลือกตั้งมากน้อยแค่ไหน เพราะหากพิจารณาจาก ฐานหรือ “ขั้วการเมือง” ดั้งเดิม ถือว่าทั้งสองพรรคอยู่ตรงข้ามกัน แม้ว่าที่ผ่านมามีความพยายามจะสลายขั้วจากฝ่ายพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะ “บิ๊กป้อม” ที่ย้ำในเรื่อง “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” เพื่อเปิดทางให้ “ร่วมรัฐบาลได้ทุกฝ่าย” ซึ่งในความหมายที่แท้จริง อาจไม่ใช่ในความหมาย “ก้าวข้าม” ที่แท้จริง แต่จะออกมาในลักษณะแบบว่า “ทำทุกทางเพื่อเป็นรัฐบาล หรือเป้าหมายสูงสุดที่ตัวเองต้องเป็นนายกฯ” เท่านั้น เหมือนกับข่าวเปิดดีลลับทั้งสองพรรคที่ว่า เป็นเรื่องจริง

อย่างไรก็ดี คำถามที่ตามมาอีก หาก “ดีลลับ” ที่ว่าเป็นเรื่องจริง หรือความพยายามทำให้เป็นเรื่องจริงตามที่ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ยืนยัน มันจะเป็นผลบวกหรือลบกับทั้งสองพรรคกันแน่ โดยเฉพาะหากโฟกัสไปที่พรรคพลังประชารัฐ จะเป็นการสร้าง “กระแส” ในทางบวก เป็นการเพิ่มคะแนนในช่วงเลือกตั้งได้หรือไม่ แม้ว่าหากพิจารณาในรายละเอียดสำหรับพรรคพลังประชารัฐในเวลานี้ มีความมั่นใจในเรื่อง “บ้านใหญ่” ที่มั่นใจในเรื่อง ส.ส.เขต เป็นหลักก็ตาม แต่ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในเรื่อง “กระแส” และฐานเสียงใน “ขั้วเดิม” ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกันมานาน เชื่อว่า มันไม่น่าออกมาทางบวกนัก ไม่ว่าจะเป็นพลังประชารัฐ หรือว่า เพื่อไทยก็ตาม ซึ่งผลก็น่าจะออกมาในทางเดียวกัน นอกเหนือจากอาการดิ้นรนของบางคนในพรรคพลังประชารัฐ ที่หาหลักประกันเป็นรัฐบาลทุกขั้วเท่านั้นเอง

และอย่าได้แปลกใจที่ล่าสุด ทางพรรคเพื่อไทยได้ออกมาปฏิเสธ “ดีลลับ” ดังกล่าวทันควัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อคะแนนเสียง และเป้าหมายแลนด์สไลด์ โดยเฉพาะข่าวลบแบบนี้ ที่ออกมาก่อนเลือกตั้ง ทำให้ต้องรีบตัดเกมทันที

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นอำนาจกรรมการบริหารพรรคเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสิน ว่า เราจะสามารถร่วมรัฐบาลกับใครได้บ้าง ฉะนั้น ถ้าเราได้เสียง 310 ขึ้นไป เราไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไปจับมือกับพรรคอื่นๆ หลายพรรค แต่อาจมีพรรคประชาธิปไตยเข้ามาร่วม เพราะการตั้งรัฐบาลได้ ต้องได้ 376 เสียง

“สิ่งที่นายวิรัชพูด ถือว่าฝันกลางวันหรือไม่ พรรค พท. โดยกรรมการบริหารพรรค ไม่เคยมีมติเช่นนั้น เราไม่เคยตกลง ไม่เคยประสานกับนายวิรัช เรามุ่งหน้าแลนด์สไลด์ ไม่สนับสนุนคนอื่นเป็นนายกฯ ไม่ประสงค์ร่วมมือพปชร. มีคนพยายามโหนเพื่อไทย หรือจ้องทำลาย คนที่ตัดสินใจว่าใครเป็นรัฐบาล คือ ประชาชน ใครได้อันดับ 1 ควรได้จัดตั้งรัฐบาล ที่ว่าจะจับมือกับพรรค พปชร. พรรคโน้น พรรคนี้ เพ้อฝันทั้งสิ้น คนที่ออกมาพูด มีเจตนาแอบแฝงฉุดรั้งกระแสเพื่อไทย และยืนยันมุ่งมั่นเป็นรัฐบาล เพราะอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในระบอบการเมืองไทย และจะเกิดขึ้นได้ด้วยประชาชน” นายภูมิธรรม ระบุ

เมื่อถามว่า โจทย์แรกที่จะจับมือ คือ ฝ่ายประชาธิปไตยใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ถ้าเกิน 310 เสียง เราก็จัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ทั้งหมดต้องได้ 376 เสียง ก็เป็นไปได้ที่จะมีการจับมือกับพรรคการเมืองอื่น เพื่อจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคที่เป็นฝ่ายค้านด้วยกัน แต่วันนี้จะร่วมมือกันอย่างไร ก็ต้องเอานโยบายของพรรคเพื่อไทยเป็นนโยบายหลัก และนโยบายจะต้องไม่ขัดกับนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย ส่วนนโยบายจากพรรคอื่นๆ ก็ต้องเป็นนโยบายรอง แลจะไม่มีการต่อรองตำแหน่งหรือต่อรองกระทรวงกัน ย้ำว่าถ้าเราได้ 310 เสียง เก้าอี้ตำแหน่งนายกฯ ก็จะเป็นของเรา ให้คนอื่นไม่ได้ เพราะจะขัดเจตนารมณ์ประชาชน

เมื่อถามย้ำว่า โจทย์สุดท้าย คือ การจับมือกับพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันใช่หรือไม่ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า “ถ้าเป็นไปได้ เราไม่จับแน่นอน”

ส่วนแคนดิเดตนายกฯ จะชัดเจนวันไหนนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า เช้าวันที่ 4 เม.ย. ซึ่งกรรมการบริหารพรรค จะประชุมวันสุดท้ายด้วย การกำหนดแคนดิเดตนายกฯทั้ง 3 คน อยู่ที่กรรมการบริหารพรรคพิจารณาเท่านั้น ส่วนที่มีการโจมตีว่าแคนดิเดตนายกฯของ พท. ไม่อยู่ในบัญชีรายชื่อนั้น คนที่อยู่หรือไม่อยู่ ก็อาจจะเป็นแคนดิเดตนายกฯก็ได้ อย่าคาดการณ์กันไป เพราะอาจจะคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องผ่านมติของประชาชนก่อน

ดังนั้น สรุปนาทีนี้ “ดีลลับ” ที่ว่านี้ก็ยังไม่ชัวร์อยู่ดี และยังไม่อาจสรุปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าจริงหรือไม่จริง เพราะทางฝ่ายหลัง คือ พรรคเพื่อไทยปฏิเสธ ขณะที่ฝ่ายแรก คือ พลังประชารัฐ (บางคน) ยืนยัน และต้องการให้เกิด แต่ปัญหา ก็คือ มันอาจกระทบทางลบกับพรรคพลังประชารัฐ และ “ลุงป้อม” มากกว่า เพราะความหมายแบบนี้มันไม่ใช้ก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่จะออกมาในทาง “กระสันต์เป็นรัฐบาล” จนต้องทำทุกวิถีทาง และแม้ว่าพวก “บ้านใหญ่” ไม่กระทบมากนัก แต่สำหรับ “กระแส” คะแนนพรรคที่เดิมมีแนวโน้มลดลงอยู่แล้ว เจอแบบนี้เข้าไปก็คงมองเห็นภาพกันอยู่แล้ว !!


กำลังโหลดความคิดเห็น