xs
xsm
sm
md
lg

“จตุพร” ฟาด “แม้ว” ไร้สัจจะ บอกจะกลับบ้านปั่นคะแนนเสียง ล่าสุด หลอกอีกแล้วเลื่อนเป็น “วันใดวันหนึ่ง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“จตุพร” ฟาดทักษิณ คนไร้สัจจะ โกหกกลับบ้านมา 18 ครั้ง ยังไม่กล้ากลับมา เอาแต่หลอกลวงความไว้เนื้อเชื่อใจของ ปชช. ยอมแลกทุกอย่างทั้งชีวิต ปชต.ของคนอื่นเพื่อได้กลับบ้าน บอกสื่อญี่ปุ่นจะกลับบ้านสิ้นปี แค่หวังปั่นคะแนนเสียง ล่าสุด เปลี่ยนใหม่อีกแล้ว ขยับจากกลับในปีนี้ เป็น “วันใดวันหนึ่ง” เชื่อนี่คือตรรกะของคนปลิ้นปล้อน มั่นใจไม่กลับมาชัวร์

วันนี้ (27 มี.ค.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ทางเพจ Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์ ในรายการ “ประเทศไทยต้องมาก่อน” ตอน “หลอกอีกแล้ว...ครับท่าน?” โดยระบุว่า นายทักษิณ ชินวัตร คนไร้สัจจะ ปรับเปลี่ยนคำประกาศกลับในปีนี้ แค่ไม่กี่วันยังกล้าโกหก ขยับเลื่อนไปกลับใน “วันใดวันหนึ่ง” ซึ่งไม่รู้เป็นวันไหนในปีใด แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่กล้ากลับมาติดคุก เพียงพูดเพื่อหวังปั่นคะแนนเสียงให้พรรคเพื่อไทยเท่านั้น

นายจตุพร กล่าวว่า ยุทธศาสตร์เลือกตั้งของกลุ่มแคร์ คิดเคลื่อนไทย ที่เขียนว่า ถ้าเลือกพ่วง ร่วงกันหมดแน่! ต้องชนะขาดกันเท่านั้น ซึ่งมีนัยยะถึงถ้าเลือกเดี่ยวให้ชนะขาดจึงจะรอด จึงแปลหรืออธิบายเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากเรียกร้องให้เลือกพรรคเพื่อไทยพรรคเดียว แล้วพรรคก้าวไกล ไทยสร้างไทย เสรีรวมไทย จะทำอย่างไร

นอกจากนี้ นายจตุพร ระบุถึงพรรคเพื่อไทย ยกให้ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำจิตวิญญาณของพรรค รวมทั้งเปรียบเทียบยุทธศาสตร์เลือกตั้งของกลุ่มแคร์ เหมือนคนหิวโซ 4 คนเดินกลางทะเลทราย แต่ทั้งหมดเหลือขนมปังแผ่นเดียว จึงแบ่งกันกินไม่ได้เพราะจะตายกันหมด จึงต้องให้คนใดคนหนึ่งกินเพื่อจะมีชีวิตรอด ดังนั้น ยุทธศาสตร์แบบนี้จึงสะท้อนถึงการเห็นแก่ตัว และเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว เมื่อคนอื่นตายหมดเหลือแต่วิญญาณ จึงได้เป็นผู้นำจิตวิญญาณของเพื่อไทย

สิ่งสำคัญ เห็นว่า ด้วยตรรกะการเมืองแบบนี้จะเห็นถึงฝ่ายเรียกตัวเองเป็นประชาธิปไตย แต่ใจอำมหิตกว่าเผด็จการมาก นอกจากนี้ ตนยังไม่เคยได้ยินฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลเดิมเลยว่า ถ้าเลือกพ่วงร่วงกันหมด มีแต่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยพรรคเดียวที่คิดหลอกประชาชน แล้วยังไม่เห็นหัวพรรคฝ่ายเดียวกัน แล้วในอนาคตจะร่วมมือทางการเมืองกันได้อย่างไรกัน

นายจตุพร กล่าวว่า ทักษิณและเพื่อไทย เดินงานการเมืองขณะนี้ มาจากเป้าหมายหลักอย่างเดียว คือ การปั่นกระแสชี้นำทางการเมืองขึ้น จึงไร้มนุษยธรรม ซึ่งถ้าเป็นประชาธิปไตยที่ดีประชาชนต้องตัดสินใจได้ สิ่งสำคัญต้องไม่ใช่การเสนอทฤษฎีเอาตัวรอดเพียงคนเดียว หรือพรรคเดียว แล้วให้เพื่อนตายกันหมด

“ในบรรดาฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าฟังภาษาเลือกพ่วง ร่วงกันหมด ต้องเลือกให้ชนะขาด หรือไม่แบ่งใจให้ใคร ไม่แบ่งคะแนนให้ใคร ฟังแล้วไม่เข้าใจ แล้วยังคิดจะไปร่วมกับเขาอยู่นั้น ผมว่าต้องคิดกันใหม่แล้วนะ นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้ไปร่วมกับอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ต้องสร้างแรงศรัทธาให้เกิดทางเลือกอีกสายหนึ่งให่้ได้ เพราะซีกนี้อำมหิตพร้อมจะฆ่าเพื่อนทั้งหมด”

อีกทั้งระบุว่า นักประชาธิปไตยที่ไหนที่มีความเห็นแก่ตัวและจิตใจอำมหิตเช่นนี้ แต่ประชาธิปไตยเป็นการกระจายให้ประชาชนตัดสินใจ แล้วสร้างทางเลือกให้มีจิตใจที่กว้างขวาง คนที่เป็นแกนนำพรรคต้องแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพราะตัวเองเหนือกว่านักการเมืองธรรมดาอยู่แล้ว ดังนั้น พฤติกรรมเหล่านี้จึงฝากความหวังต่อไปไม่ได้

นายจตุพร กล่าวถึงทักษิณจะกลับบ้านว่า คำพูดกลับบ้านไม่กี่วันนั้นได้เปลี่ยนแปลงใหม่ในสาระสำคัญแล้ว โดยให้สัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่น (24 มี.ค.) บอกจะกลับในปี 2566 ไม่มีนิรโทษกรรม แต่พูดเมื่อวันที่ 26 มี.ค. บอกว่า จะกลับแน่ในวันใดวันหนึ่ง ซึ่งกว้างอย่างไร้อาณาเขตกว่าคำพูดว่าภายในปีนี้ แต่วันที่นานกว่าปีนี้ก็คือ วันใดวันหนึ่ง

“ทุกครั้งทักษิณ นำทุกอย่างทั้งความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชน ชีวิต เลือดเนื้อของผู้ชุมนุม สมคบยอมแลกประชาธิปไตยกับให้รัฐประหาร การแลกนี้เป็นการแลกเพื่อให้ได้กลับบ้าน แต่การพูดกลับบ้านครั้งล่าสุดนั้น แลกเพื่อให้ได้คะแนนเสียง”

อีกทั้งระบุว่า ยิ่งใกล้เลือกตั้งมากขึ้น การสร้างความขัดแย้งยิ่งจะเกิดขึ้น เพราะเพื่อให้ได้คะแนนเสียงเป็นกลุ่มก้อนในการเลือกตั้ง ดังนั้น พฤติกรรมในการจะจับมือกับพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือไม่ โดย นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพลังประชารัฐ พูดชัดเจนมีฝ่ายเพื่อไทยจะมาเลือก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกฯ ซึ่งเพื่อไทยต้องตอบโต้เป็นความจริงหรือไม่ (ล่าสุด ทั้งทักษิณ กับภูมิธรรม เวชชัย โพสต์โต้ ไม่จริงแล้ว)

อย่างไรก็ตาม การประกาศของทักษิณนั้น เมื่อสัมภาษณ์สื่อญี่ปุ่นบอกจะได้เสียงเกิน 250 แต่มาอีกวันบอกจะได้มากเท่าการเลือกตั้งปี 2548 คือ 377 เสียง แต่ที่สุดยังยอมรับในรัฐบาลผสม โดยมีความเชื่อว่า ส.ว. บางส่วนจะมาโหวตให้ ส่วนเพื่อไทยหาเสียงในประเทศประกาศปิดสวิตช์ ส.ว. เลือกเพื่อไทยชนะขาด แล้วจะให้ฟังใครอีกละ

“ถ้าฟังทักษิณ ก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย ตามทฤษฎีกลับบ้านล่าสุดในวันใดวันหนึ่ง วันนี้พูดอย่างแล้ววันต่อไปละ แค่พูดสองสำนักข่าวยังมีนัยยะแตกต่างกันคนละอย่าง จึงชี้ได้ชัดว่า การไม่อยู่กับร่องกับรอยทุกคนจึงไม่เชื่อ เพราะคนที่มีสัจจะจะพูดกี่ครั้งก็เหมือนกัน แต่การพูดไม่เหมือนกัน และไร้สัจจะจึงไม่ได้รับการเชื่อถือ”

นายจตุพร กล่าวว่า การไม่รักษาสัจจะจึงเป็นประเด็นสำคัญกับการไม่ได้กลับบ้าน เพราะทักษิณต้องการกลับบ้านแบบไม่ติดคุก ดังนั้น เวลา 16 ปีที่เผ่นไปต่างประเทศ ไม่กลับบ้าน แล้วนำความอยากกลับบ้านยอมแลกทุกอย่างทั้งชีวิตของคนอื่น ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความเป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนต้องการได้ต่อสู้เรียกร้องร่วมกัน อย่างไรก็ตาม การพูดกลับบ้านครั้งนี้ เพื่อต้องการให้ได้คะแนนเสียง

พร้อมทั้งเห็นว่า การไม่รักษาคำพูด และเป็นคนไม่อยู่กับร่องกับรอย จึงเป็นคนไม่น่าเชื่อถือ แต่คนที่ได้ประโยชน์แล้ว พร้อมยอมรับการโกหกได้ตลอดเวลา ส่วนคนมีเกียรติแล้วชิงชังการพูดโกหกซ้ำซากเช่นนี้ อีกอย่างชีวิตผู้คนที่วอดวายล้วนมาจากการโกหก ไม่รักษาสัจจะนั่นเอง

“การโกหกให้คนที่ต่ำกว่าฟัง คุณ (ทักษิณ) ก็มีความสุขดี แล้วก็คิดคำโกหกใหม่อีก แต่คนกล้าที่คุณไม่ควรโกหก เขาไม่อดทนกับคุณ ไม่มีครั้งที่สองและสามนะ และเมื่อให้โอกาสครั้งที่สองแล้ว จะไม่มีโอกาสอีกเลย”

นายจตุพร กล่าวว่า การเลือกตั้ง 14 พ.ค. นี้ ตนมั่นใจได้ว่า ทักษิณ ไม่กล้ากลับบ้าน อย่างเก่งจะมาทำท่าเกาะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น เพื่อแสดงพฤติกรรมหลอกลวงว่าจะกลับมาแล้ว ซึ่งความจริงแล้ว ทักษิณ ต้องกลับมาตั้งแต่พูดครั้งแรกแล้ว ทำไมจึงต้องพูดถึง 18 ครั้ง จึงแสดงถึงพฤติกรรมโกหกได้ชัดเจน

“ผู้นำที่กล้าหาญทำสงครามยาเสพติด เด็ดขาดปราบปรามปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ทักษิณไม่เคยรักษาคำพูดอะไรเลย ทักษิณเด็ดขาดแต่กับชีวิตคนอื่น แต่ชีวิตของตัวเองไม่เคยมีความเด็ดขาด ให้โอกาสตัวเองตลอดเวลา แต่ไม่เคยให้โอกาสคนอื่นเขาเลย”

สิ่งสำคัญ ระบุว่า ด้วยวิธีการแบบนี้ของทักษิณ จึงสะท้อนถึงแนวคิด ถ้าเลือกพ่วงร่วงกันหมด จึงเป็นแนวทางการเห็นแก่ตัวในขั้นสูงสุดเลย เพราะในสังคมนี้มีคำว่า ถ้าจะรอดต้องรอดด้วยกัน ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน แต่วิถีผู้นำแบบทักษิณ กลับเป็นถ้าเลือกพ่วงเราจะตายกันหมด

นายจตุพร กล่าวว่า คนเป็นผู้นำคนต้องเป็นคนเสียสละ เพราะมีวิถีชีวิตแตกต่างจากคนอื่น แต่พฤติกรรมผู้นำแบบทักษิณ เป็นไม่ได้ เป็นได้แค่ผู้ปกครอง แต่ไม่ใช่ผู้นำ เนื่องจากมีความเห็นแก่ตัว ตนขอถามว่า ไม่อาย นายวิกรม กรมดิษฐ์ บ้างหรือไม่? ที่บริจาคสมบัติให้สาธารณะถึง 95%

ด้วยวิถีผู้นำเช่นนั้น นายจตุพร เชื่อว่า ประชาชนไม่สามารภฝากความหวังไว้กับผู้ปกครองได้ หรือจะฝากงบประมาณแผ่นดินที่ไม่แบ่งให้ใครก็ไม่ได้ จึงเชื่อใจไม่ได้ด้วย ดังนั้น สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ หากไม่เป็นไปตามประชาชนคาดหวัง ความวุ่นวายต่างๆจะเกิดขึ้น และจะรุนแรงมากกว่าทุกครั้ง

“เมื่อเริ่มต้นด้วยการถูกหลอก แล้ววันใดวันหนึ่งไปยกมือให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ ประชาชนจะมีความรู้สึกอย่างไร ดังนั้น พฤติกรรมหิวคะแนนเสียงของเพื่อไทยและทักษิณ จึงสำแดงออกด้วยการกวาดกินเรียบทั้งโต๊ะ ปล่อยให้เพื่อนอดตายหมด สิ่งเหล่านี้จึงไม่อาจปล่อยให้คนแบบนี้ปกครองบ้านเมืองไม่ได้”

นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญในขณะนี้ ปัจจัยภายในมองเห็นผลประโยชน์ทับซ้อนรออยู่เบื้องหน้า โดยเฉพาะนโนบายระบบเงินดิจทัลที่จะหนักกว่าโครงการจำนำข้าวเสียอีก ดังนั้น เราจะเอาประเทศมาเสี่ยงกับแนวทางการเมืองแบบนี้หรือไม่?

“พลังของประชาชนจะสำแดงอีกครั้งในวันข้างหน้า ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม ใครเห็นแก่ตัวก็ทำกันไป จะได้พิสูจน์จากประชาชน อีกทั้งพรรคฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าไม่คิดสู้กับเพื่อไทยแล้วจะไม่ได้ ส.ส.เลย ดังนั้น จึงต้องลุกขึ้นมาสู้กับเพื่อไทย”


กำลังโหลดความคิดเห็น