เมืองไทย 360 องศา
หลังจากมีการวิเคราะห์ถึงความน่าจะเป็นสำหรับพรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล ที่เป็น “คู่แข่งที่แท้จริง” ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะจะเป็นการแย่งคะแนนเสียงจากฐานเดียวกัน และพรรคก้าวไกลนั่นแหละ จะเป็นพรรคการเมืองที่ขัดขวางเป้าหมาย “แลนด์สไลด์” 310 เสียง ของเพื่อไทย
ที่ผ่านมา เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นหลังจากที่ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ออกมาปลุกเร้าให้เลือกแบบ “มียุทธศาสตร์” ให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี โดยให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว เพียงแต่ว่ายังไม่บอกตรงๆ ว่าจะให้ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้นเอง ซึ่งการเร่งเร้าดังกล่าว มันก็เหมือนกับการ บีบการเมืองให้เหลือ “สองขั้ว”
อย่างไรก็ดี นาทีนี้อยากให้โฟกัสกันเฉพาะสองพรรค คือ เพื่อไทย กับ ก้าวไกล เป็นหลัก หลังจากที่เห็นภาพชัดเจนแล้วว่าทั้งสองพรรคจะกลายเป็นคู่แข่งดังกล่าว ขณะเดียวกัน เริ่มได้เห็นระดับแกนนำพรรคและผู้สนับสนุนคนสำคัญต่างออกมากล่าวโจมตีกันโดยตรง
ก่อนหน้านี้ มีสมาชิกพรรคก้าวไกล ปราศรัยโจมตีพรรคเพื่อไทยอย่างรุนแรง กล่าวหาว่า “ไม่ใช่พรรคประชาธิปไตย” ที่แท้จริง หลังจากนั้น ก็มีทั้ง น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการคณะก้าวหน้า อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ผู้สนับสนุนคนสำคัญได้โพสต์ ตอบโต้ฝ่ายสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า “สำหรับท่านที่เชื่อในพรรคที่อยู่ได้ด้วยเงินจากประชาชน (บริจาค)” พร้อมกับลิงก์เว็บที่รับบริจาค เพื่อตอบโต้อีกฝ่ายที่กล่าวว่า “เราไม่เชื่อในพรรคที่ทำการเมืองแล้วมาขอตังค์ประชาชน ตลกง่ะ” ถือว่าเป็นการตอบโต้กันอย่างดุเดือด
ที่น่าสนใจก็คือ โพสต์ของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โพสต์ความเห็นผ่านทวิตเตอร์ ของ “คำ ผกา” ต่อการขอสนับสนุนเงินจากประชาชน ของบางพรรคว่า “คำ ผกา” ไม่เชื่อมั่นบางพรรคที่ยังขอเงินประชาชน
“ถ้าพรรคเพื่อไทยเลิกรับเงินทักษิณ ก็คงดีไม่น้อย เป็นพรรคของทักษิณ เพราะทักษิณให้เงินสนับสนุนฝ่ายเดียว ผมยังจำได้ดี ตอนเหมาเข่ง บรรดา “คนเดือนตุลา” ที่รู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร ต่างเงียบกันหมด”
ขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊ก The METTAD โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า การประกาศแลนด์สไลด์ เป็นหลักจิตวิทยา ครับ
เพื่อไทยหวังให้ฐานเสียงโน้มเอียงมาเลือก โดยทำให้เชื่อว่าพรรคตัวเองมีโอกาสเป็นรัฐบาลสูง ซึ่งเป็นการตัดโอกาสพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ไปในตัว เพราะมองว่าหันมาเลือกเพื่อไทยพรรคเดียว ได้ลุ้นมากกว่า
“สมศักดิ์เจียม” มองออกเรื่อง เพื่อไทยให้ “โหวตยุทธศาสตร์” นั่นคือ อย่าไปเลือกพรรคฝ่ายค้านอื่นเลย ไม่ได้ลุ้นหรอก เลือกเพื่อไทยพรรคเดียว ไม่ต้องแบ่งใคร เพื่อไทยไม่ได้หวังแย่งฐานเสียงสลิ่ม แต่แย่งจากพวกเดียวกันเองนี่แหละ เก็บแบงก์ย่อยคืนมาให้หมด แค่ทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเพื่อไทยจะได้เสียงถล่มทลาย เพื่อไทยก็ได้เปรียบขึ้นนำในการเลือกตั้งไปแล้ว เพราะคนที่โหวตตามอารมณ์ หรือกระแสพาไปมีอยู่เยอะนะครับ ฝั่งสลิ่มก็หากลยุทธ์กันดีๆ ละกัน ว่าจะแบ่งกันยังไง เพราะตอนนี้เสียงกระจัดกระจายมาก เพราะพรรคที่คิดจะเป็นแกนนำรัฐบาล เขาขอแค่ 10 ล้านเสียง เท่านั้นครับ”
อย่างไรก็ดี หากยังไม่ชัดว่าทั้งสองพรรคมีความแย้งกันจริง ก็ลองฟังคำพูดล่าสุดของ นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวในรายการ “แคร์” ในกลุ่มการเมืองของพวกเขา ได้โจมตี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กับพรรคก้าวไกล ว่า “วันนี้ผมงงมาก ธนาธร ออกมาโจมตีเพื่อไทย ที่คนบอกว่าก้าวไกลเหมือนประชาธิปัตย์ ผมว่าก็ชักเหมือนขึ้นทุกวัน”
เรื่องขายพ่วงหรือไม่พ่วง สรุปแล้วเพื่อไทยเขาไม่มีสาขา และเขาไม่คุยกับใคร ไม่จับมือกับใครล่วงหน้า คือ ใช้หลักการช่วยตัวเองก่อน “ผมคิดว่าเขาคงขายเดี่ยว ไม่น่าขายพ่วง”
หากบอกว่านี่คือ ความชัดเจน ซึ่งภาษาบ้านๆ บ้านอาจเรียกว่า “ระดับตัวพ่อ” ออกหน้ามาเองแบบนี้ มันก็ไม่ต้องพูดกันแล้ว เพราะถือว่า“จัดเต็ม” มีความหมายกันอยู่แล้ว
นอกจากนี้ คำพูดของ “โทนี่” ยังชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีสาขา และเขา (เพื่อไทย) ไม่คุยกับใคร ไม่จับมือกับใครล่วงหน้า ผมว่าเขาคงขายเดี่ยว “ไม่น่าขายพ่วง” แบบนี้มันก็เหมือนกับการ “ตัดญาติขาดมิตร” กับพรรคก้าวไกล อย่างชัดเจน ซึ่งความหมายอีกอย่างก็เหมือนกับการ “เก็บแบงก์ย่อยกลับคืนมา” นั่นเอง เพราะต้องยอมรับความจริงว่าการเลือกตั้งคราวที่แล้ว หลังจากมีการยุบพรรคไทยรักษาชาติ คะแนนเสียงก็เทมาที่พรรคอนาคตใหม่ รับรู้กันอยู่แล้ว แต่คราวนี้ นายทักษิณ ต้องการให้เลือกเพื่อไทยพรรคเดียว ไม่ต้องแบ่งให้ใคร โดยเฉพาะในกลุ่มฐานเดียวกัน อย่างพรรคก้าวไกล รวมไปพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ หรือแม้แต่พรรคไทยสร้างไทยของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่แตกตัวออกมา
นอกจากนี้ นายทักษิณ ชินวัตร ยังยืนยันอีกว่า พรรคเพื่อไทย จะไม่จับมือกับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมทั้งปฏิเสธ “ดีลลับ” ล่วงหน้า โดยเขายัง “บูลลี่” ในลักษณะ “เหยียด” ในทำนองว่า มีปัญหาสุขภาพไปไม่ไหวแล้ว เดินก็ไม่ไหว ถือว่าหมดเวลาแล้ว อะไรประมาณนั้น
ความหมายของคำพูดคราวนี้ ก็ถือว่าเป็นการเมืองอย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นตัดความ “ลังเล” ของฐานเสียงหลังจากที่มีข่าวเรื่อง “ดีลลับ” มาอย่างต่อเนื่อง และที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีใครในพรรคเพื่อไทยที่เป็นคนที่มีอำนาจแท้จริงออกมายืนยันว่า “ไม่จับมือ” จนมาครั้งนี้ เพิ่งจะได้ยินเสียงปฏิเสธออกมาจากปากของนายทักษิณ อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เพราะเขารู้ว่า หากยังไม่ยืนยัน มันก็จะมีผลกระทบต่อเป้าหมายแลนด์สไลด์ ดังกล่าว
ดังนั้น หากพิจารณาให้เห็นภาพรวมนาทีนี้ มันก็เหมือนกับ นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยกำลังดิ้นรนแบบสุดชีวิต เพื่อให้ตัวเองไปถึงเป้าหมายให้ได้ ทางหนึ่งก็รับรู้ว่าพรรคก้าวไกล คือ คู่แข่งทางการเมืองที่แท้จริง จึงต้องหากทางสกัดทุกวิถีทาง เหมือนกับความหมาย “เก็บแบงก์ย่อยคืน” นั่นเอง ขณะเดียวกัน ยังเก็บเอาทุกเม็ดไม่ว่าจะเป็นการบอกปัดดีลลับ ไม่จับมือกับ “ลุงป้อม” ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ผู้สนับสนุนลังเลโหวตให้เต็มที่ ซึ่งหากมองข้ามฟากทำให้อีกขั้วหนึ่งฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาลหันมาจับมือกันล่วงหน้า ซึ่งก็เป็นการโดดเดี่ยวอีกฝั่งนั่นเอง !!