ข่าวปนคน คนปนข่าว
**เอาแล้ว!! “อนุทิน” สาวไส้ “ชูวิทย์” เล่นกลเกมการเมือง เคยจะร่วมพรรคแล้วโกรธที่ไม่ชวน.. รู้แหละใครอยู่เบื้องหลัง?
งานนี้ต้องบอกว่า มวยถูกคู่ หรือ กระดูกพอกัน เมื่อ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ออกหมัดรัวๆ เข้าใส่พรรคภูมิใจไทย “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็เคลื่อนไหวตอบโต้ ประเคนหมัดสวนอดีตเจ้าพ่ออ่าง และนักการเมือง อย่างชนิดมี เท้า เข่า ศอก ครบเครื่องมวยไทยแถมให้อีกต่างหาก
“หมอหนู” ไม่ต้องมากลีลา เหมือน “ชูวิทย์” ที่ช่วงหลังถูกวิจารณ์ อาศัยลีลามากกว่าเนื้อหา ยิงหมัดตรงบอกเลยว่า “ไม่ให้ราคา” เฮียชู และเชื่อได้เลยว่า การเคลื่อนไหวของชูวิทย์ มีการเมืองอยู่เบื้องหลังอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นช่วงการเลือกตั้ง
ถามว่า “หมอหนู” พอรู้หรือไม่ว่ากลุ่มการเมืองที่อยู่เบื้องหลัง “ชูวิทย์” คือ กลุ่มใด คำตอบที่ได้ คือ ทราบหมดแหละ แต่ทําไมจะต้องมาพูดกัน เรื่องนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น เพียงแต่โดยการเมืองทั่วไปภูมิใจไทยไม่ทำแบบนี้
อย่างที่ว่ากันมาก่อนหน้านี้ “อดีตเจ้าพ่ออ่าง” ที่พลิกผันลงเล่นการเมือง และวางมือไป ก่อนจะกลับมาสวมบทบาท “นักแฉ” ได้รับความชื่นชมจากสังคมอย่างมาก เมื่อเคลื่อนไหวกัดติด “ทุนจีนสีเทา” และ “บ่อนพนันออนไลน์” จนขบวนการที่บ่อนทำลายเศรษฐกิจปั่นป่วน หรือจะเรียกได้ว่า ถูกทลายลงด้วยฝีปากนักแฉอย่างชูวิทย์ ก็ว่าได้
นี่ก็ต้องยอมรับว่า “ชูวิทย์” ได้สร้างคุณูปการให้กับสังคมด้วยประสบการณ์ตรงจากอดีตที่คลุกคลีในวงการสีเทา และ การประพฤติมิชอบในวงราชการ แต่พออกนอกเส้นทางที่ตัวเองถนัดหันมา “เล่นใหญ่” แฉเรื่องทุจริต และโจมตีพรรคการเมือง เรืองมันก็ “โป๊ะแตก” ถูกชาวบ้านร้านตลาดวิพากษ์กันให้แซด “ชูวิทย์” หลงทาง
หลงไปไหนไม่หลง กลับไปหลงเข้าดงการเมือง จนเกิดคำถามว่า “รับงาน” ใคร, พรรคไหนมาให้กล่าวร้ายอีกฝ่ายโดยปราศจากข้อมูลที่หนักแน่น
แม้ “ชูวิทย์” จะพยายามขว้างงูให้พ้นคอ แต่อีกฝ่ายก็เดาทางออก เหมือนที่ “อนุทิน” บอกว่า รู้แหละว่าใครอยู่เบื้องหลัง อยู่แค่ว่า จะพูดหรือไม่พูดออกมาเท่านั้น
“หมอหนู” บอกว่า ระหว่างตัวเองกับ “ชูวิทย์” รู้จักกันมาหลายปี ลูกก็เป็นเพื่อนกัน เรื่องพวกนี้ที่ชูวิทย์ทำเป็นเรื่อ “กลเกม” ทางการเมือง ก็ว่ากันไป ต่างคนต่างมีหน้าที่ ก็ทํากันไป
แถมยังบอกอีกว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “ชูวิทย์” พึ่งจะโทรศัพท์มาหา มานัดกินข้าว ยังไม่ทันได้นัดกันเลย มาว่ากันซะแล้ว เมื่อมีประเด็นโจมตีกันออกมา ก็ไม่ควรจะโทร.แล้วล่ะ
ความจริงเป็นคนรู้จักกันทั้งนั้น ให้กำลังใจกันมาโดยตลอด เคยคิดทำการเมืองใน กทม. ด้วยกัน แต่พรรคภูมิใจไทย ในขณะนั้นคิดว่าใน กทม. คงจะยาก ไม่เหมือนตอนนี้ที่พรรคได้ “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” มาช่วยแล้ว “ชูวิทย์” ก็อาจจะโกรธที่ไม่ได้ไปชวน
สรุปว่า งานนี้ “หมอหนู” ปักใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง เป็นการว่ากล่าวให้ร้าย เพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง…ว่ามาแบบนี้ “ชูวิทย์” ล่ะจะว่ายังไง?
**ขั้วอนุรักษนิยมแตกยับ แย่งกันเป็นนายกฯ เพื่อไทย อมยิ้ม รอแลนด์สไลด์
เมื่อพี่น้อง 2ป. “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องแยกจากกัน ไปสานฝันของตนเอง “ลุงตู่” ขอเป็นนายกฯ ต่ออีกสมัย ขณะที่ “ลุงป้อม” ขอเป็นนายกฯสักครั้ง เช่นเดี่ยวกับ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่กำลังมาแรง ก็ประกาศชัดว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทยชนะเลือกตั้งครั้งนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เป็นนายกฯ
“ลุงตู่” ไปสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์ฯ และว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ก็ต้องเล่นทุกท่า เอาทุกทาง ทั้ง “ตกปลาในบ่อเพื่อน” ทั้งเคลมผลงานทั้งหลายแหล่ของรัฐบาลที่ทำมา แถมเกทับนโยบายที่พรรคร่วมรัฐบาล ประกาศไปก่อนหน้า
อย่างการเปิดปราศรัยใหญ่ ของ “ลุงตู่” และพลพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เมืองย่าโม โคราช เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อตอกย้ำมอตโต้ “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” และขอเป็น “นายกฯ ลูกอีสาน”...ไม่เพียงเท่านั้น “ลุงตู่” ยังเกทับนโยบาย “ลุงป้อม 700” ประกาศเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 1,000 บาท
เรื่องบริหารจัดการน้ำ แก้น้ำท่วม น้ำแล้ง ปัญหาที่ดิน ที่ทำกิน ที่เป็นเหมือนโลโก้ของ “ลุงป้อม” เพราะช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เดินสายไปทำเรื่องเหล่านี้แทบทุกจังหวัดที่ประสบปัญหา หรือเรื่องแก้ปัญหาโควิด เรื่องการดูแลสุขภาพประชาชน รักษามะเร็งฟรี ฟอกไตฟรี เรื่องธุรกิจการท่องเที่ยว ถนนหนทาง รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง ที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยของ “เสี่ยหนู” กำกับดูแล “ลุงตู่” ก็เคลมว่าเป็นผลงานของตนเอง เพราะต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุม ครม. ที่ “ลุงตู่” เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาล
เรียกว่า “ลุงตู่เคลม” เสียจน “เคลมโบเดีย” ที่อ้างว่า “มวยไทย” ก๊อบปี้มาจาก “กุน ขแมร์” และ “บัวขาว” เป็นคนเขมรนั้น ดูเด็กๆ ไปเลย
เรื่องนี้คนในพรรคพลังประชารัฐไม่พอใจอย่างมาก... ส่วน “ลุงป้อม” แม้จะไม่พอใจ ก็ไม่โวยวายแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ให้เสียกิริยาของ “พี่ใหญ่” ... แต่ออกจดหมายเผยความในใจ ที่ไม่หยุดเล่นการเมือง กลับไปใช้ชีวิตสบายๆ ว่า เป็นเพราะผูกพันกับคนที่ร่วมสร้าง “พรรคพลังประชารัฐ” ขึ้นมา จนประสบความสำเร็จ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล บริหารประเทศมาเกือบครบ 4 ปีเต็มๆ และที่สำคัญคือ จำเป็นต้องนำพาประเทศไปด้วยระบอบประชาธิปไตย เพื่อ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ระหว่างฝ่าย “อนุรักษนิยม” กับฝ่าย “ประชาธิปไตยเสรีนิยม” และเชื่อมั่นว่า ตนเองทำได้ หากประชาชนให้โอกาส
ขณะที่ “อนุทิน” แคนดิเดตนายกฯของพรรคภูมิใจไทย ออกมาตอบโต้ค่อนข้างดุเดือด แม้จะไม่ติดใจเรื่องเคลมผลงานเท่าใดนัก แต่การที่ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ผู้กำลังฮอตฮิตเป็นจอมแฉ เพิ่งเข้าทำเนียบฯ ไปพบ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ของ “ลุงตู่” จากนั้นก็ออกมาโจมตีนโยบายกัญชาทางการแพทย์ โดยโพสต์ในโซเชียลฯ ว่าด้วย กัญชา พี้เพื่อชาติ! และ กัญชา เหรียญสองด้าน สนองกิเลสพรรคภูมิใจไทย ทั้งยังโจมตีการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่อยู่ในความดูแลของ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รมว.คมนาคม เลขาฯ พรรคภูมิใจไทย ว่ามีเงื่อนงำ ไม่โปร่งใส แถมขู่ว่าจองกฐินกระทรวงสาธารณสุข ที่ “หมอหนู” กำกับดูแลไว้แล้วด้วย
เหมือนเข้าทำเนียบฯไปรับงานมาดิสเครดิตกันชัดๆ !!
“หมอหนู” บอกเรื่องการหาเสียงไม่อยากให้ลอกนโยบายแล้วมาบลัฟกัน เพราะจะทำให้เกิดความขัดแย้ง... ตอนยังไม่ขึ้นเวทีก็บอกว่า จะเร่งสร้างความสามัคคีของคนในชาติ แต่พอขึ้นเวทีก็ใส่กันไม่ยั้ง ว่าคนนี้เลว คนนี้ชั่ว คนนั้นไม่ดี แล้วอย่างนี้จะไปสามัคคีกันได้อย่างไร ... “ภูมิใจไทย” ไม่เลือกวิถีทางนี้ เพราะย้อนแย้งกับเจตนารมณ์ที่ทุกพรรคระบุว่า จะธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ สร้างความสามัคคีปรองดอง ให้เป็นปึกแผ่นของคนในชาติ ให้เกิดความมั่นคงในประเทศ...
“อนุทิน” ยืนยันว่า หลังเลือกตั้ง หากภูมิใจไทย ได้คะแนนมากกว่า รวมไทยสร้างชาติ ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีเอง เพราะประกาศชื่อแคนดิเดตนายกฯ เป็นพรรคแรก ประกาศมา 2 เดือนแล้ว ถ้าไม่พร้อมเป็น ก็เท่ากับโกหกประชาชน ซึ่งตนจะไม่มีวันทำเช่นนั้นเด็ดขาด
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นจะต้องมีการเคลียร์ใจกับ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” หรือไม่ “หมอหนู” บอก ไม่ต้องคุย คุยทำไม คุยไปก็ไม่มีประโยชน์ รอเลือกตั้งเสร็จ ใครมี ส.ส.เท่าไหร่ ตรงนั้นถึงจะเป็นตัวชี้ว่า ใครจะต้องคุยยังไง กับใคร ตอนนี้ก็ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามไทม์ไลน์ของมัน แต่ละคนก็ต้องไปทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ก็แล้วกัน
ถามว่า เมื่อบรรยากาศเป็นแบบนี้ แล้วจะมองหน้ากันในที่ประชุมครม.ได้หรือ ... “อนุทิน” ว่า ก็มองกันอีกแค่ไม่เกิน 2-3 สัปดาห์ ไม่เป็นไรหรอก
...ความจริงก็ดีเหมือนกัน ก่อนเลือกตั้ง ต่างฝ่ายก็จะได้ไปทำงานของตัวเองอย่างเต็มที่ ปลดแอก ปลดพันธนาการทั้งหลาย ทําให้เราเป็นตัวของเราเองอย่างเต็มที่ ไม่ต้องมีความเกรงอก เกรงใจ หรือวิตกกังวลอะไร เพราะบางทีถ้าเรามัวแต่ไปคิดถึงคนอื่นมากๆ ก็จะไม่เป็นผลดีกับตัวเรา...
ตอนนี้ ความสัมพันธ์ในฝ่าย “อนุรักษนิยม” หรือฝ่ายพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าจะใช้คำว่า “ร้าว” คงไม่พอ เพราะทั้ง “ลุงป้อม-ลุงตู่-หมอหนู” ต่างมีเป้าหมายเดียวกัน คือ เก้าอี้นายกรัฐมนตรี
เช่นนี้แล้ว ขั้วตรงข้ามอย่างพรรคเพื่อไทย คงนึกถึงศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่ผู้สมัครตัวแทนฝ่ายรัฐบาล ทั้งที่สังกัดพรรค และอิสระ ต่างห้ำหั่นกันสุดฤทธิ์ สุดท้าย “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ลอยลำ แลนด์สไลด์